ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) น่าจะดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) ต่อเนื่องจนครบตามกำหนดในเดือนมี.ค.2559 ทำให้นโยบายการเงินในยูโรโซนยังคงมีแนวโน้มผ่อนคลายต่อเนื่อง ขณะที่การปฏิรูปโครงสร้างภายในของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนสามารถเพิ่มสัดส่วนของกำไร (Profit Margin) ได้ ความเสี่ยงที่ต้องจับตาคือปัญหาการเมือง การเลือกตั้งในบางประเทศ รวมถึงวิกฤติผู้อพยพลี้ภัยที่เข้ามาในทวีปยุโรปอย่างต่อเนื่อง
กองทุน KT-EURO เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Invesco Continental European Small Cap Equity Fund และเน้นลงทุนหุ้นกลุ่มประเทศในแถบยูโรโซน ไม่รวมอังกฤษ ประเภทหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยปัจจุบันกองทุนปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 90% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน สำหรับผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2558 ย้อนหลัง 9 เดือน อยู่ที่ 4.16% และ 1 ปี อยู่ที่ 20.64% เมื่อเทียบกับ Benchmark ย้อนหลัง 9 เดือน อยู่ที่ 14.55% และ 1 ปี อยู่ที่ 19.10% ซึ่งนับว่ากองทุน KT-EURO มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี เมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศ และการลงทุนในภูมิภาคอื่นๆ นอกจากนี้ ในปีนีก็ยังมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการล็อคผลตอบแทนจากการลงทุนในช่วงนี้ บริษัอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้เอฟไอเอฟ 78 (KTFF78) เสนอขายตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 19 มกราคม 2559 อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประเภท MTN ที่ออกโดย Banco Latinoamericano de Comercio Exterior,S.A. ,ออกโดย Agricultural Bank of CHINA , ออกโดย Industrial and Commercial Bank of CHINA (Asia) Ltd.และเงินฝากประจำ Abu Dhabi Commercial Bank PJSC และ Ahli Bank QSC ในสัดส่วนสถาบันการเงินละ 20% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนผลตอบแทนประมาณ 1.75% ต่อปี
สำหรับแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศ อายุตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไปมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามแรงขายทำกำไรในพันธบัตรระยะกลางถึงยาว เพื่อลดความเสี่ยงจากการไหลออกของเงินลงทุนหลังค่าเงินดอลล่าร์ มีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับตลาดเพิ่มความระมัดระวังก่อนการประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุคงเหลือ 10 ปี (LB25DA) ในช่วงกลางสัปดาห์ ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาบางส่วน สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้จะเป็นแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทิศทางของการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศ และการเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศลดลง 19 bps. มาอยู่ที่ 1.57% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวลดลง 14 bps.มาอยู่ที่ 2.13% ต่อปี สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้จะเป็นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน แนวโน้มราคาน้ำมันโลก และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ