บลจ.เมย์แบงก์ฯ ออกกอง Feeder Fund ลงทุนหุ้นทั่วโลกผ่านกอง Baillie Gifford

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 18, 2016 14:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวกองทุนเปิด"เมย์แบงก์ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ"หรือ M-UGG ระหว่างวันที่ 18 ม.ค.-2 ก.พ.59 ขนาดมูลค่ากองทุน 1,000 ล้านบาท ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมค่าธรรมเนียม Front – ended) กำหนดมูลค่าซื้อขายขั้นต่ำของการสั่งซื้อ 5,000 บาท คาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวจะเป็นตัวเลข 2 หลัก

นายตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เมย์แบงก์ฯ เปิดเผยว่า กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุน Feeder Fund ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund ของ Baillie Gifford & Co. Limited ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูง

ทั้งนี้ กำหนดหุ้นในพอร์ตการลงทุน 30-60 บริษัทชั้นนำของโลกและมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไม่เกิน 10% ต่อ 1 บริษัท เช่น บริษัท Tesla Motor ผู้ผลิตเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ให้ผลตอบแทนในปี 2558 เท่ากับ 7.9% บริษัท Amazon.com ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ชที่ขายและจัดส่งสินค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่มีผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ 117.8% เป็นต้น

สำหรับกองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund ได้รับการบริหารจัดการโดยทีมงานที่มีประสบการณ์กับการลงทุนกับ Baillie Gifford มากกว่า 10 ปี และยังเป็นหุ้นส่วนบริษัท Baillie Gifford อีกด้วย โดยนับตั้งแต่ปี 48 จนถึง 7 ม.ค.59 สามารถสร้างผลตอบแทนสะสมโดยรวมอยู่ที่ 171.10% หรือเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 10.90%

นายตรีพล กล่าวว่า การลงทุนในตลาดต่างประเทศปีนี้ยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะสหรัฐและสหภาพยุโรป จึงแนะนำให้เน้นการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีโอกาสการเติบโตและให้ผลตอบแทนสูง และหุ้นที่มีนวัตกรรมเพื่ออนาคต ส่วนตลาดญี่ปุ่น คงต้องรอความคืบหน้าของการทำนโยบายทางการเงินครั้งต่อไปก่อน

ขณะที่ตลาดหุ้นจีนยังมีความเสี่ยงในด้านภาวะเศรษฐกิจ หากชะลอตัวและการเติบโตในปีนี้ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ในระดับ 6.5-6.8% ก็จะกลายเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจของไทยด้วย เพราะปัจจุบันไทยและจีนมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวและการค้าขายระหว่างกันค่อนข้างมาก แต่หากเติบโตได้ตามที่คาดไว้ ก็ยังถือว่ามีการเติบโตที่ดี แม้ว่าจะไม่มากเหมือนก่อนๆก็ตาม

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะสามารถปรับตัวเป็นบวกได้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐและสหภาพยุโรปที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ว่าสหภาพยุโรปอาจจะยังเติบโตไม่มากนัก

ทั้งนี้ เบื้องต้น บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)ในปีนี้จะอยู่ในช่วง 1,400-1,450 จุด ที่ระดับ P/E ราว 14 เท่า และเชื่อว่าจุดต่ำสุดจะไม่หลุดแนวรับที่ 1,180 จุด

"เราเชื่อว่ายังไงตลาดหุ้นไทยก็ต้องปรับตัวขึ้น เพราะที่ผ่านๆ มาไม่มีช่วงไหนที่ปรับตัวลดลงติดต่อกัน 2 ปีเลย ถ้าจะมี 2 ปีลบติดกันต้องย้อนไปถึงประมาณปี 1990 แต่อย่างไรก็ตามปีนี้ก็ต้องระมัดระวังภาวะเศรษฐกิจจีนหาก GDP ไม่เป็นไปตามคาดจะฉุดให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวไปด้วย เพราะจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ และหากว่าราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำและต่ำลงอีก ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อตลาดเราเช่นกันเพราะไทยเองมีบริษัทฯที่ประกอบธุรกิจน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีผลค่อนข้างมากต่อภาพรวมดัชนี"นายตรีพล กล่าว

นายตรีพล กล่าวอีกว่า ภาพรวมตลาดเงินตลาดทุนในครึ่งแรกของปี 59 ยังมีความผันผวนต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจของจีนที่อยู่ในช่วงชะลอตัวลง ทำให้ต้องประกาศลดค่าเงินหยวน ปัจจัยด้านภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ตกต่ำ ความเสี่ยงด้านความขัดแย้งในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มเกิดสงครามและวิกฤติเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนรุนแรงมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 58 ที่ผ่านมา

จากการประเมินตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกในรอบปีที่ผ่านมานั้นพบว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยของการลงทุนในหุ้นทั่วโลกปรับลดลง 4.3% เช่น ผลตอบแทนในตลาดหลักทรัพย์ S&P 500 ของสหรัฐ มีผลตอบแทนลดลง 0.7% ตลาดในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ลดลง 17% ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยลดลง 14% มีเพียงตลาดหลักทรัพย์ของยุโรปและญี่ปุ่นที่มีผลตอบแทนเป็นบวกที่ 7.7% และ 8.1% ตามลำดับ ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลและความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน

“ปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังซบเซาต่อเนื่องจากปัจจัยการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อวิกฤติเศรษฐกิจโลกรอบใหม่และเป็นแรงกดดันสำคัญต่อความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น นักลงทุนจะต้องระมัดระวังและศึกษาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเพื่อคัดเลือกกองทุนเปิดที่มีนโยบายการลงทุนที่ดีเลือกหุ้นที่เหมาะสมและลดความเสี่ยงจากภาวะขาดทุนจากการลงทุนในระยะยาว"นายตรีพล กล่าว

ด้านนายสุทิน แซ่โง้ว ผู้จัดการกองทุน ด้านตราสารทุน บลจ.เมย์แบงก์ฯ กล่าวว่า อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานดีในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กลุ่มการแพทย์และกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ขนส่งและโลจิสติกส์ โดยความเสี่ยงที่สำคัญของตลาดหุ้นไทยคือหากเศรษฐกิจจีนมีการชะลอตัวรุนแรง ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวลงอีก หรือ สหรัฐขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับลงต่ำกว่า 1,200 จุดได้

บลจ.เมย์แบงก์ฯ มีแนวทางในการบริหารกองทุนหุ้นไทย โดยเน้นลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว ศึกษาบริษัทจดทะเบียนในเชิงลึกเพื่อเข้าใจโมเดลในการทำธุรกิจและประเมินโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยเชื่อว่าบริษัทที่มีความสามารถสร้างกำไรให้เติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ และราคาเหมาะสมกับอัตราการเติบโตดังกล่าว จะสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในระยะยาวได้

นายกิติวัจน์ อักรังษี ผู้จัดการกองทุน ด้านการจัดสรรการลงทุน บลจ.เมย์แบงก์ฯ กล่าวว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจในช่วงปี 58 จะซบเซา แต่กองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกในรูปแบบการลงทุนระยะยาวในบริษัทนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้คนทั่วโลก เช่น กลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปฏิวัติเทคโนโลยีและปฏิวัติรูปแบบการใช้ชีวิตและกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ สามารถเอาชนะความเสี่ยงจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจโลกและความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุน

กองทุนดังกล่าวในรอบปี 58 สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 19.8% สะท้อนให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจโลกจะซบเซาแต่ก็มีบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี ที่กองทุนดังกล่าวไปลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนได้เสมอ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ