ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ จำนวน 8 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยจะเป็นแนวราบ 100% ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดในส่วนของหัวเมืองหลัก และหัวเมืองรอง แบ่งสัดส่วนทำเลออกเป็นโซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 70% และในทำเลต่างจังหวัด 30% ซึ่งครึ่งปีแรกจะเปิดโครงการแนวราบทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่า 2,000-2,500 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการ ในพื้นที่จ.นนทบุรี,ปทุมธานี และอีก 1 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว
นอกจากนี้ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ 800-900 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดที่มีในมือ อีกทั้งยังมีแผนออกหุ้นกู้ในปีนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อสำรองทุนไว้ใช้หมุนเวียนในการขยายธุรกิจในระยะยาวให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และใช้คืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีนี้จำนวน 600 ล้านบาท
สำหรับยอดปฎิเสธสินเชื่อในปี 59 บริษัทฯคาดจะทรงตัวในระดับเดียวกันกับปี 58 ที่อยู่ที่ 20-25% เพิ่มขึ้นจากปี 57 ที่อยู่ที่ 15-18% เนื่องด้วยหนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯก็มีการรับมือกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งได้เป็นพันธมิตรกับธนาคารพาณิชย์ และตรวจสอบเอกสารลูกค้าก่อนยื่นกู้สถาบันการเงิน เพื่อทำให้อัตราการปฎิเสธสินเชื่อลดลง
"ปีนี้เราตั้งเป้ายอดขายไว้ 2,800 ล้านบาท โตจากปี 58 ที่คาดจะทำได้ 2,600-2,700 ล้านบาท และเป้ารายได้ที่ 2,400 ล้านบาท จากปีก่อนคาดอยู่ที่ 2,100 ล้านบาท โดยบริษัทฯจะดำเนินกลยุทธด้านการตลาด ซึ่งจะเน้นขยายโครงการแนวราบ 100% และส่วนใหญ่จะเป็นทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ Lanceo ,Lanceo crib, Lio ,Lio Nov เป็นต้น รวมถึงกลยุทธ์การขาย จะจัดทำโปรโมชั่นตามความต้องการของลูกค้า และสถานการณ์ตลาด ,ออกแคมเปญร่วมกับสถาบันทางการเงิน และสินค้าให้เลือกทั้ง บ้านสั่งสร้าง และบ้านอยู่ระหว่างการก่อสร้าง บ้านพร้อมอยู่"นายชูรัชฏ์ กล่าว
ด้านนายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร LALIN กล่าวว่า แนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 59 อยู่ในภาวะปรับตัวจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลกและเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงชะลอตัว การเมืองมีเสถียรภาพ และรัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ โดยหนึ่งในมาตรการนั้น คือการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในกลุ่มผู้ที่มีรายได้ระดับกลางและระดับล่าง ซึ่งนับว่าเป็นฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ ทำให้ช่วยดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมา
ด้านการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร เริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้น นอกจากนั้นรัฐบาลยังเร่งผลักดันแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างระบบขนส่งคมนาคมและอื่นๆ มูลค่ากว่า 1.7 ล้านล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ กลับมาคึกคักได้ และสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว
อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยลบที่ยังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจจีน และตลาดทุนที่อยู่ในช่วงของความผันผวน รวมถึงเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเปราะบาง ราคาที่ดินที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมากเกินไป ปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และปัญหาโอเวอร์ซัพพลายของโครงการแนวสูงจากปีที่ผ่านๆมา