แนวทางการบริหารกองทุนของ บลจ.กรุงศรี ยังคงให้ความสำคัญกับการคัดเลือกหุ้นรายตัว โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับจากการพบปะผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน และการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียนทั้งในแง่ของคุณภาพและเชิงปริมาณ รวมไปถึงการติดตามผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยลงทุน เพราะหากมองย้อนหลังในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผันผวน แต่กองทุนหุ้นก็ยังมีอัตราการเติบโตสูง โดยเฉพาะกองทุนภายใต้การบริหารของบลจ.กรุงศรี อาทิ กองทุนเปิดกรุงศรี อิคคิวตี้ ที่มีผลการดำเนินงานเติบโตได้เหนือกว่าตลาด
ทั้งนี้ บลจ.กรุงศรี แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ และการท่องเที่ยว แต่ควรลดการถือครองหุ้นในกลุ่มน้ำมัน โดยมองว่าภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อยู่ในระดับปานกลาง คาดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ปีนี้จะเติบโตระดับ 3.2% ปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตมาจากการท่องเที่ยว การใช้จ่าย และการลงทุนของภาครัฐ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐและการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นจากมาตรการภาครัฐที่มีความชัดเจนมากขึ้น การใช้งบประมาณกลาง และการเบิกจ่ายที่คาดว่าจะเร่งตัวในสัดส่วนที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเทศยังต้องมีความระมัดระวังความเสี่ยงจากการเติบโตของเศรษฐกิจอาจต่ำกว่าคาด เป็นผลมาจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหากขยายตัวได้น้อยกว่าที่คาด โดยเฉพาะจีน จะเป็นปัจจัยกดดันให้การส่งออกของไทยไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวเติบโตได้ ประกอบกับ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าเกษตรคาดจะอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องจากปี 58 ที่ผ่านมา
บลจ.กรุงศรี คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยในปีนี้จะคงไว้ที่ระดับ 1.50% ตลอดทั้งปี โดยอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย และเพียงพอต่อภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก อาจจะมีประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างจำกัด ดังนั้น จึงมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะให้ความาสำคัญกับการรักษาสเถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวมากกว่าภายหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นระยะเวลานาน
นาย Luke spajic,Pd.D. Executive Vice President and Portfolio,PIMCO มีมุมมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายธนาคารกลางทั่วโลกยังคงต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยที่ผ่านมา และการดำเนินการต่างๆ ของสรัหฐอาจจะเกิดขึ้นในปี 59 ซึ่งจะส่งผลต่อดอกเบี้ยตลาดสินเชื่อ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศด้วย
ด้านนาย Tai Hui Managing Director , Chief market Strategist, Asia, J.P.Morgan Asset Management มีมุมมองว่าสหรัฐ และยุโรปยังคงรักษาสมดุลของเศรษฐกิจได้ดี อย่างไรก็ตามยุโรปและญี่ปุ่นยังมีความเสี่ยงที่มีมาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงินมากขึ้น ทั้งนี้คาดว่าธนาคารของประเทศในกลุ่มจี4 และเอเชียยังคงดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไป
ส่วนนาย Ricky Tang Associate Product Manager, Multi-Asset,Schroder Investment Mamagement เปิดเผยว่า ในปี 59 การเติบโตในเอเชียจะเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากอุปสงค์ทั่วโลกยังไม่เพิ่มขึ้น ขณะที่การชะลอตัวของสินเชื่อในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนในราคากลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลดลง และเงินหยวนที่อ่อนค่า รวมถึงตลาดหุ้นจีนที่มีความผันผวน ความเสี่ยงในความผิดพลาดทางนโยบายจีนที่จะส่งผลต่อความผันผวนในตลาดหุ้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับลดลงของตลาดหุ้นเอเชียในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้ราคา มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นปันผล