ล่าสุด IEC ได้ร่วมทุนกับบริษัท ยูนานวอเตอร์ อินเวสเมนต์ จำกัด (มหาชน) และลงนามแล้วเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 59 ที่ผ่านมา เพื่อลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ในจ.ภูเก็ต ที่ยูนานวอเตอร์ฯเข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท หรือ 70 เหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีอีก 4 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ที่สามารถรับรู้รายได้ในปี 59 ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าโอแก๊ส จ.กำแพงเพชร กำลังการผลิต 5.26 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าโอแก๊ส จ.สุพรรณบุรี ขนาด 4 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าชีวมวล จ.สระแก้ว แห่งที่ 2 มีกำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ (มีสัญญา 7 ปีกับกฟภ.) และโครงการผลิตเม็ดพลาสติก จากพลาสติกปนเปื้อนเพื่อการส่งออกที่หาดใหญ่ ขนาดกำลังการผลิต วันละไม่น้อยกว่า 60 ตัน
ขณะที่สัดส่วนรายได้ปี 59 จะมาจากธุรกิจพลังงาน 46% ธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก 47% จากปีก่อนที่รายได้มาจากธุรกิจพลังงาน 91% และ ICT 9%
สำหรับปีนี้กำลังการผลิตเม็ดพลาสติกปนเปื้อน จ.ระยอง เฉลี่ยที่ 250-300 ตัน/วัน เริ่มจาก 100 ตัน/วัน และทยอยเพิ่มเป็น 300 ตัน/วัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าปีนี้อาจลดลงจากปีก่อนเนื่องจากราคาน้ำมันลดลง ส่งผลกระทบต่อค่า FT ติดลบ ทำให้รายได้ธุรกิจไฟฟ้าชีวมวลลดลงเล็กน้อย
ในปีนี้ตั้งงบลงทุนรวม 1,500 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังผลิตเม็ดพลาสติก ที่หาดใหญ่ โครงการไบโอแก๊ส จ.สุพรรณบุรี และโรงไฟฟ้าบ้านบึง จ.ชลบุรี เป็นเงินจากการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ซึ่งคาดว่าจะได้เงินราว 498 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน
โดยสัปดาห์หน้าจะเดินสายโรดโชว์ผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิเพิ่มทุน คาดว่าจะมีการใช้สิทธิครบ โดยกำหนดวันจองซื้อและชำระเงินค่าซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบ RO วันที่ 1-5 ก.พ.59
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมพิจารณาโครงการ Integrated Gas Hub ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันมิตร บมจ.บางจาก ปิโตรเลียม (BCP) และบมจ.ปตท.(PTT) และอีก 1 ราย เป็นในประเทศ ซึ่ง IEC มีใบอนุญาตไบโอแก๊สแล้ว 2 ใบ เตรียมซื้อที่ดิน จ.อ่างทอง ไว้แล้ว 300 ไร่ วางเงินมัดจำแล้ว มีเอทานอลแพลนท์ ที่ย้ายมาจากระยองได้ มีอ้อย แต่โครงการนี้มีมูลค่าโครงการสูงมากราว 4,000-5,000 ล้านบาท ต้องหาผู้ร่วมทุน ซึ่ง BCPและ PTT ก็สนใจแต่ต้องการถือหุ้น 75% การเจรจาคาดว่าจะสรุปและเซ็นสัญญาได้ในไตรมาส 2/59 กว่าโครงการจะเริ่มน่าจะเป็นปี 60
นายภูษณ กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในระยะ 5 ปี (59-63) บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-25% ต่อปี โดยในปี 59 จะมีรายได้ประมาณ 1,700 ล้านบาท กำไร 210 ล้านบาท, ปี 60 รายได้ที่ 2,210 ล้านบาท กำไร 273 ล้านบาท, ปี 61 รายได้ที่ 2,542 ล้านบาท กำไร 323 ล้านบาท ปี 62 รายได้ที่ 3,015 ล้านบาท กำไร 418 ล้านบาท และปี 63 มีรายได้ประมาณ 3,661 ล้านบาท กำไร 533 ล้านบาท
"อีก 3-4 ปีข้างหน้า คาดใช้เงิน 3-4 พันล้านบาท หลักๆลงทุนโครงการผลิตไบโอแก๊สครบวงจร โดยกำไรที่จะเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ 210 ล้านบาท ก็จะมาจาการรับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส จ.สุพรรณฯ การผลิตเม็ดพลาสติกเพื่อส่งออก ที่หาดใหญ่ กำลังผลิตไม่น้อยกว่า 60 ตัน/วัน ที่จะเริ่มรับรู้ปี 60 ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้าเราอยากได้ถึง 72 MW ภายใน 2 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 24 MW ก็น่าจะเพิ่มขึ้นได้" นายภูษณ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯเตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทฯ ที่จะประชุมวันที่ 26 ก.พ.59 พิจารณาจ่ายปันผลสำหรับผลประกอบการงวดปี 58 ที่คาดว่าจะเป็นกำไรสุทธิแน่นอน จากงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิแล้ว 41 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการจ่ายปันผลครั้งแรกในรอบ 10 กว่าปี ที่บริษัทมีผลประกอบการขาดทุนมาตลอด และปี 58 สามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมดเกลี้ยง มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายปันผล ถ้าบอร์ดอนุมัติก็จะนำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเม.ย.59 พร้อมกันนี้ จะเสนอบอร์ดพิจารณาเรื่องการรวมมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) จากปัจุบันพาร์อยู่ที่ 0.01 บาทต่อหุ้น เพื่อเพิ่มมูลค่า