มองว่า เศรษฐกิจของประเทศกลุ่มยูโรโซนมีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา หลังทางการยุโรปมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายทางการเงิน โดยปัจจจัยที่ผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมาจากการบริโภคภาคเอกชน เป็นหลัก รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ซึ่งสนับสนุนต่อรายได้ที่แท้จริงของประชาชนให้เพิ่มขึ้น
ที่ผ่านมาทางการของยุโรปได้ลดความคาดหวังพึ่งพาด้านการส่งออก แต่เน้นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้ภาคการบริโภคเป็นส่วนผลักดันเศรษฐกิจให้ค่อยๆดีขึ้นได้ โดยบริษัทคาดการณ์ตัวเลขของการบริโภคภาคเอกชนมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงินที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ธนาคารกลางยุโรปขยายระยะเวลาโครงการ QE เพิ่มเติมถึงเดือน มี.ค. 2560 วงเงิน 60,000 ล้านยูโรต่อเดือน และพร้อมจะผ่อนคลายนโยบายทางการเงินอื่นๆ เพิ่มเติมหากเศรษฐกิจมีความจำเป็น นอกจากนี้ ดัชนีชี้นำต่างๆ ที่ผ่านมาก็มีแนวโน้มที่ดี อาทิ ตัวเลขการจ้างงานและการเติบโตของค่าจ้าง รายได้ที่แท้จริงหลังราคาน้ำมันปรับลดลง รวมถึงการปรับลดภาษีในการดำเนินธุรกิจและผู้ที่มีรายได้ต่ำในบางประเทศ ซึ่งจะเป็นส่วนผลักดันการบริโภคให้เพิ่มขึ้นในอนาคต
สำหรับภาคของการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป บริษัทประเมินว่า การกระตุ้นแศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ และค่าเงินที่อ่อนค่าลงจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนยุโรปในปีนี้ในระดับประมาณ 11% ขณะที่ กำไรบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐอเมริกาที่เติบโตค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา จึงคาดว่าอัตราการเติบโตในปีนี้จะน้อยมาก ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปมีความน่าสนใจมากกว่าโดยเปรียบเทียบกัน
หากพิจารณาในส่วนของมูลค่าหุ้นของตลาดหุ้นยุโรปพบว่า อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) ซึ่งสะท้อนจาก 1 Y Forward PE ยังอยู่ในระดับต่ำที่ระดับประมาณ 12 เท่า ขณะที่อัตราเงินปันผลอยู่ในระดับสูงประมาณ 4-5% ในส่วนของค่าเงินนั้น โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดมีความกังวลกับเหตุการณ์ต่างๆ สกุลเงินยูโร จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์น้อยกว่าหากเทียบกับสกุลเงินของประเทศอื่นๆ เนื่องจากค่าเงินยูโรไม่แปรผกผันตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมากนัก ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ลงทุน เพราะจะลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทคาดการณ์ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางอีซีบีได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.01% ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณเงินที่อัดฉีดเข้างบดุลของอีซีบีสูงเป็นอันดับ 2 รองลงมาจากประเทศญี่ปุ่น และบ่งชี้ให้เห็นถึงทิศทางของเม็ดเงินที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในยูโรโซนอีกมาก ดังนั้น บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสลงทุนช่วงตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงในระดับราคาที่น่าสนใจ เป็นจังหวะที่เหมาะสมในการทยอยสะสมหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว