“ปีนี้ดูโดยภาพรวมๆ ประมาณสัก 5-10% ตัวที่เป็นบวกคือกำลังการผลิตของสินค้าซีเมนต์ในอาเซียน ซึ่งเราขึ้นได้ตามแผนน่าจะมียอดขายที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยที่อาจจะมีผลมากคือเรื่องของราคาน้ำมัน ถ้าราคาน้ำมันปรับลดลงก็จะคล้ายๆกับปีที่แล้ว ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีก็จะต้องลงแน่นอน ก็มีผลกระทบต่อยอดขายของเรา อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดจีนเองถ้าตลาดจีนยังประคองได้ก็พอไปได้ ถ้ามีความเสี่ยงสูงก็จะมีผลกระทบตามมาได้ เท่าที่เห็นช่วง 1 เดือนที่ผ่านมายังไม่มีอะไร"นายรุ่งโรจน์ กล่าว
นายรุ่งโรจน์ กล่าวอีกว่า ยอดขายที่เติบโตในปีนี้จะมาจากกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นในอาเซียนที่ในช่วงกลางปีนี้จะเริ่มเดินเครื่องผลิตโรงปูนซีเมนต์ขนาด 1.8 ล้านตัน/ปีในเมียนมาร์ จากการเดินเครื่องผลิตโรงปูนซีเมนต์แห่งที่ 2 ในกัมพูชาช่วงกลางปี 58 และโรงปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย เมื่อปลายปี 58 จะช่วยผลักดันให้กลุ่มบริษัทมีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในอาเซียน และจากการส่งออกไปยังอาเซียน สูงขึ้นราว 10% จากราว 1 แสนล้านบาทในปีก่อน ขณะที่ในปีนี้รายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในอาเซียนจะเติบโตได้ 20% จากปีที่แล้วเติบโตเพียงเล็กน้อยราว 6% เท่านั้น
สำหรับปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวนั้น ปัจจุบันกลุ่ม SCC มีการส่งออกสินค้าไปยังจีนราว 20% ซึ่งเป็นตลาดค่อนข้างใหญ่ แต่การส่งออกในกลุ่มเคมีภัณฑ์จะอยู่ ใน 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าสายเอทิลีน ที่นำไปใช้สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ตลาดจีนยังไม่น่าจะชะลอตัวลง ขณะที่ในกลุ่มสินค้าที่ใช้ได้นาน อาจจะชะลอตัวลง ก็จะไปหาตลาดใหม่เพื่อเข้ามาเสริมยอดขายในส่วนนี้ด้วย
ส่วนเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)ของไทยในปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากโครงการต่างๆของภาครัฐ ภายใต้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะช่วยให้เกิดการบริโภคและขับเคลื่อนการลงทุนต่อเนื่องประเทศ คาดว่าจะเห็นเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 59 ส่งผลต่อความต้องการของสินค้า และความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ขณะที่ยังต้องติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง ซึ่งอาจจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจได้ แต่ในส่วนการผลิตของโรงงานกลุ่มบริษัทใน จ.ระยองนั้น ไม่น่าได้รับผลกระทบเพราะภาครัฐได้สร้างอ่างเก็บน้ำและมีท่อส่งน้ำรองรับสถานการณ์ได้อยู่ แต่ในส่วนโรงงานกลุ่มกระดาษ ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจจะได้รับผลกระทบบ้างหากสถานการณ์มีความรุนแรง แต่ ณ ปัจุจบันยังไม่ได้มีความรุนแรงขนาดนั้น
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทในปีนี้ในส่วนของธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คาดว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ของประเทศจะเติบโตจากปีที่แล้วที่อยู่ในระดับ 40 ล้านตันซึ่งทรงตัวจากปี 57 โดยเริ่มเห็นสัญญาณความต้องการใช้ปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น 2% ในช่วงไตรมาส 4/58 และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะมีออกมา แต่ยังต้องติดตามความชัดเจนอีกครั้ง ท่ามกลางการแข่งขันที่น่าจะรุนแรงขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นมา ทำให้ต้องใช้ความสามารถในการบริหารจัดการสูงขึ้น เช่น การลดต้นทุนพลังงาน
ขณะที่กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่าส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ สายโพลีเอทิลีน (PE) จะมีความผันผวนสูงมาก หลังจากตั้งแต่ต้นปีราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงราว 10% กระทบต่อสเปรดผลิตภัณฑ์ให้อ่อนตัวลงจากช่วงปลายปีที่แล้วด้วย โดยปัจจุบันสเปรดผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีน ชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) กับวัตถุดิบแนฟทา เหลืออยู่ที่กว่า 600 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราว 700 เหรียญสหรัฐ/ตันในปลายปีที่แล้ว ทำให้ยังไม่สามารถคาดการณ์สเปรดเฉลี่ยในปีนี้ได้ ขณะที่กำลังผลิตใหม่ในตลาดโลก ไม่ได้ออกมาสู่ตลาดมากนัก แต่ความต้องการใช้ยังคงมีอยู่
กลยุทธ์การลงทุนของกลุ่ม SCC ในปีนี้ยังคงมุ่งเน้นการใช้พลังงาน และแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน และการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ให้มากขึ้น จากปีที่แล้วยอดขายสินค้า HVA ของกลุ่มบริษัท คิดเป็นสัดส่วน 37% ของยอดขายรวม โดยในปีนี้บริษัทได้เพิ่มงบวิจัยและพัฒนาขึ้นอีกเป็นมากกว่า 1% ของยอดขายรวม จากระดับ 0.8% ของยอดขายรวมในปีที่แล้ว
ทั้งนี้ นายรุ่งโรจน์ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของกลุ่ม SCC เมื่อวันที่ 1 ม.ค.59 ซึ่งนายรุ่งโรจน์ ยืนยันว่าทิศทางของเครือซิเมนต์ไทยนับจากนี้จะยังสานต่องานเดิม แต่จะมีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยจะยังคงมุ่งการลงทุนในอาเซียน เพื่อรองรับการเศรษฐกิจที่เติบโตในอันดับต้นๆ ของโลก และการผลิตสินค้านวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้นในอนาคต
บริษัทตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 59-63) ที่ระดับ 2.0-2.5 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในการลงทุนในอาเซียน เพื่อขยายฐานการลงทุน และรองรับการซื้อกิจการ ตลอดจนปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยจะเป็นงบลงทุนในปีนี้ราว 5 หมื่นล้านบาท จากปีที่แล้วที่ใช้เงินลงทุนราว 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งกำลังการผลิตใหม่ในอาเซียนจะมาจากโครงการโรงปูนซีเมนต์ในเมียนมาร์ที่จะเปิดดำเนินการในช่วงกลางปีนี้ และโรงปูนซีเมนต์ในลาว เปิดดำเนินการในปี 60 ขณะเดียวกันก็จะขยายฐานการตลาดควบคู่การไปด้วย เช่น ในเมียนมาร์ มีแนวคิดที่จะลงทุนในธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
ณ สิ้นปี 58 เครือซิเมนต์ไทย มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากไทย มูลค่าราว 1.08 แสนล้านบาท หรือประมาณ 21% ของสินทรัพย์รวมของกลุ่มบริษัท
นายรุ่งโรจน์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ในเวียดนามว่า โครงการดังกล่าวอาจจะต้องยืดเวลาออกไปอีก 6 เดือน หลังจากที่ QPI Vietnam (QPIV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Qatar Petroleum International และเป็นผู้ถือหุ้น 25% ในโครงการ ได้แจ้งถอนการลงทุนไปแล้ว ทำให้บริษัทต้องหาพันธมิตรร่วมทุนใหม่เข้ามา ขณะที่ในส่วนของการจัดหาผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้วนั้น ก็ได้เข้าใจถึงสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว
ก่อนหน้านี้ SCC คาดว่าจะสรุปแผนลงทุนและแผนการเงินของโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ดังกล่าวได้ทั้งหมดในช่วงประมาณไตรมาส 1/59 โดยเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าโครงการอาจจะมากกว่าเดิมที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเล็กน้อย