ขณะที่ผลผลิตเหล็กเกรดพิเศษดังกล่าวจะจำหน่ายให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก ทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชีย โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตเหล็กลวดเกรดพิเศษได้ในเดือน พ.ค.60 และเดินหน้าเต็มกำลังการผลิตได้ในช่วงปลายปี 60 ตั้งเป้าสร้างรายได้เข้ามาราว 10,000 ล้านบาทในช่วงปี 60-61 ซึ่ง MILL จะรับรู้กำไรสุทธิเข้ามาตามสัดส่วนการถือหุ้น เชื่อว่าจะทำให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 10% ในปี 60 และขยับเป็น 15-16% ในปี 63 จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 7%
"การขายเหล็กลวดเกรดพิเศษที่มีมาร์จิ้นสูง จะขายในราคาที่ 20-30 บาท จากปัจจุบันขายเหล็กลวดธรรมดาอยู่ที่ 6 บาท เราคาดว่าในปี 63 จะมีสัดส่วนยอดขายเหล็กลวดพิเศษ Wire rod 48% จากปัจจุบันเป็นเหล็กลวดธรรมดา 100% โดยในช่วงปลายปี 60 น่าจะเดินกำลังการผลิตได้เต็มที่ และป้อนสินค้าให้อุตสาหกรรมได้ ซึ่งจะมีตลาดทั้งในไทย และภูมิภาคเอเชีย"นายสิทธิชัย กล่าว
สำหรับทิศทางธุรกิจของ MILL ในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายราว 20,000 ล้านบาท จากปี 58 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 20% จากปี 57 ที่มีรายได้ 1.04 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ โดยขยายไปยังอุตสาหกรรมปลายน้ำมากขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมองว่าในปี 63 อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยน่าจะมียอดการผลิตรถยนต์ราว 3 ล้านคัน น่าจะช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตไปด้วยกันได้
ส่วนแผนการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในพม่านั้น คาดว่าการก่อสร้างโรงงานจะแล้วเสร็จได้ในช่วงปลายเดือน ก.พ.59 เพื่อผลิตเหล็กที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยบริษัทคาดว่าในปีแรกจะมีรายได้ประมาณ 700 ล้านบาท ขณะเดียวกันที่ประเทศเวียดนาม คาดจะสรุปความร่วมมือกับพันธมิตรผลิตและจำหน่ายเหล็กโครงสร้างได้ในครึ่งปีแรกนี้ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มช่องทางการขยายตลาดมากขึ้น แม้จะยังไม่ได้มีรายได้เข้ามามากนัก
ด้านความคืบหน้าของการลงทุนในโซล่าร์ฟาร์ม บริษัทคาดจะสรุปแผนดังกล่าวได้ในช่วงไตรมาส 1/59 ซึ่งจะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 20-30% ขนาดกำลังผลิต 27 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 600-700 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณานำที่ดิน 300 ไร่ มูลค่าหลายพันล้านบาท มาทำให้เกิดประโยชน์ โดยมอง 2 แนวทาง คือขาย และใช้รองรับการขยายกำลังการผลิต คาดน่าจะชัดเจนได้เร็วๆนี้
นายสิทธิชัย ยังกล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือน ก.พ.นี้พิจารณาจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น และคาดว่าจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมติในเดือน เม.ย.59 หลังจากที่ผ่านมา 2 ปีไม่ได้จ่ายปันผลเนื่องจากบริษัทมีผลขาดทุน แต่ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ผลประกอบการของบริษัทพลิกมามีกำไรสุทธิแล้วถึง 885.90 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 255.70 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) ที่เหลือ 200 ล้านหุ้นภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะเสนอขายให้กับสถาบัน จากที่ขออนุมัติกับผู้ถือหุ้นไว้ 500 ล้านหุ้นเมื่อเดือน เม.ย.58 และเสนอขายไปแล้ว 300 ล้านหุ้นเมื่อปลายปี 58 ให้กับธนาคารกรุงเทพ (BBL) ได้เงินเข้ามามา 420 ล้านบาท (นำไปชำระหนี้สถาบันการเงินทั้งหมด) จึงยังคงเหลืออีก 200 ล้านหุ้นที่ยังไม่ได้เสนอขาย