ขณะที่บริษัทมีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้อีก 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3.2 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวชวนชื่น แกรนด์ ราชพฤกษ์ มูลค่า 1 พันล้านบาท และโครการชวนชื่น แกรนด์ เอกชัย-บางบอน 4 มูลค่า 700 ล้านบาท โดยมีกำหนดเปิดตัวภายในไตรมาส 2/59 หลังจากนั้นในช่วงไตรมาส 4/59 บริษัทจะเปิดตัวโครงการทาวน์เฮาส์ระดับราคา 2 ล้านบาท 2 โครงการ มูลค่าโครงการละ 500 ล้านบาท บริเวณกรุงเทพฯโซนตะวันตก และบ้านแฝดระดับราคา 4-5 ล้านบาท มูลค่า 500 ล้านบาท
บริษัทวางเป้ายอดขายในปีนี้ที่ 4.1 พันล้านบาท พร้อมตั้งงบลงทุนซื้อที่ดิน 1 พันล้านบทท เพื่อใช้รองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในช่วงปี 59-60 อีกทั้งบริษัทวางแผนการปรับสัดส่วนรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและการบริการในอีก 5 ปีข้างหน้าเป็น 50:50 จากปัจจุบันรายได้ส่วนใหญ่ราว 97% เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ และที่เหลืออีก 3% เป็นเป็นรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและการบริการ
นายสุเทพ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้จากอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและการบริการเพิ่มเป็น 8.5% หลังจากการเข้าถือหุ้นในบริษัท พรอสเพค ดีเรลลอปเมนท์ จำกัด 100% ผู้ให้บริการอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า ในเขตปลอดอากรและเขตทั่วไป และมีแผนพัฒนาโครงการพาร์ค คอร์ท เป็นอพาร์ทเม้นให้เช่า 2 อาคาร เนมนเจาะตลาดบนและกลุ่มต่างชาติ โดยโครงการนี้มีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 59 และจะเริ่มมีรายได้จากค่าเช่าเข้ามา โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA)
พร้อมกันนั้น นายสุเทพ ยังเปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 63 แตะ 1 หมื่นล้านบาท โดยจะเน้นการขยายการขายโครงการแนวราบที่บริษัทมีความชำนาญและเป็นจุดแข็งสร้างการเติบโตให้กับบริษัท ประกอบกับ บริษัทเน้นการสร้างรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและการบริการ ซึ่งมีเป้าหมายมีรายได้และกำไรจากค่าเช่าและการบริการเพิ่มเป็น 50% ในปี 63 จากปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 8.5% จากปี 58 อยู่ที่ 3%
"ในอนาคตเราอาจจะมีการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและการบริการเข้ามาเพิ่มเติม เผื่อผลักดันรายได้และกำไรของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและการบริการให้เป็นไปตามเป้าหมาย"นายสุเทพ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้ากำไรสุทธิเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ไม่ต่ำกว่าปีละ 900 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขายปีนี้อยู่ที่ 2.87 พันล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อนที่ทำยอดขายได้ 2.5 พันล้านบาท ส่วนที่ดินในมือที่บริษัทมีเหลืออยู่ในมือมูลค่า 2 พันล้านบาท จากเดิมที่มีอยู่ 3 พันล้านบาท โดยบริษัทได้ขายไปแล้วในปีก่อนมูลค่า 1 พันล้านบาท และที่เหลืออยู่นั้นบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเป็นบางทำเลที่บริษัทไม่มีแผนการพัฒนาโครงการ ซึ่งหากมีผู้สนใจเข้ามาติดต่อบริษัทก็จะมีการพิจารณาอีกครั้ง
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า การเข้ามาถือหุ้น MK นั้น ยืนยันว่าเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยตนเองมองเห็นศักยภาพการเติบโตของ MK ภายหลังจากการเข้ามาก็มีการดำเนินกลยุทธ์ปรับภาพลักษณ์ของบริษัท ให้มีความทันสมัยมากขึ้น รวมไปถึงการสร้างรายได้ให้มีการเติบโต และยังไม่มีแผนการเก็บหุ้น MK เพิ่มจากปัจจุบันถืออยู่ที่ 17% ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นลำดับที่ 1 จากก่อนหน้านี้นายสุเทพถืออยู่ 20.64% แต่ปรับลดสัดส่วนลงโดยอัตโนมัติหลังมีการเพิ่มทุนให้กับบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เพื่อลงทุนธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า ซึ่ง MK ถือหุ้นพรอสเพคฯ 100% และ พรอสเพคฯถือหุ้นใน MK ราว 10%
"ภายหลังจากการเข้ามาลงทุนบริษัทคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ ส่วนเรื่องราคาหุ้นต่ำบุ๊ค คงปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด บริษัทไม่มีแผนที่จะเข้าไปดำเนินการใดๆทั้งสิ้น"นายสุเทพ กล่าว