ทั้งนี้บริษัทตั้งฯเป้ารักษาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไว้ไม่เกิน 1.91% จากปีก่อนที่ 1.50%
สำหรับสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในปี 59 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนโดยมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงหดตัว 4-8% หรือคิดเป็นยอดประมาณ 735,000-765,000 คัน โดยมองว่าปัจจัยบวกที่มีต่อตลาดยานยนต์ในปีนี้ ได้แก่ การลงทุนของภาครัฐฯที่จะเดินหน้ามากขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับผู้บริโภคส่วนหนึ่ง ภาคการท่องเที่ยวก็ยังมีแนวโน้มที่สดใส อีกทั้งการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะเกิดขึ้น โดยค่ายรถยนต์น่าจะมีการใช้กลยุทธ์กระตุ้นยอดขายที่อยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่องไปอีกปี นอกจากนี้รถจากโครงการรถยนต์คันแรกเริ่มปลดล็อกในปีนี้เป็นปีแรก ทำให้ผู้ซื้อรถที่มีศักยภาพมีโอกาสเปลี่ยนรถใหม่ได้ และจะเป็นจังหวะการซื้อที่ดี โดยค่ายรถยนต์และลีสซิ่งต่างๆน่าจะมีการนำเสนอโปรโมชั่นส่งเสริมการตลาดออกมากระตุ้นการซื้อมากยิ่งขึ้น
ส่วนตลาดรถยนต์มือสองมีโอกาสกลับมาขยายตัวได้อีกตามความต้องการที่น่าจะเพิ่มขึ้น หลังรถยนต์ใหม่มีการปรับขึ้นราคาตามอัตราภาษีสรรพสามิตรใหม่ ยกเว้นกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ราคาไม่ปรับขึ้นและมีบางรุ่นปรับลดลง โดยความต้องการรถยนต์มือสองที่เพิ่มขึ้นจะสวนทางกับปริมาณรถมือสองคุณภาพดีที่จะเข้าสู่ตลาดน้อยลง แม้อาจจะมีเจ้าของรถโครงการรถยนต์คันแรกที่ถูกปลดล็อคในปีนี้เป็นปีแรก หลังถือครองครบ 5 ปี มีการขายรถเก่าเพื่อเปลี่ยนรถใหม่ก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีความไม่แน่นอนสูงและราคารถยนต์ใหม่ที่ปรับขึ้น อาจจะทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะถือครองรถคันเดิมก่อน
"ปีนี้ตลาดรถยนต์คงเป็นปีที่ยากอีกหนึ่งปี ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศเองก็ขยายตัวไม่มากนัก และการส่งออกก็คงจะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกยังชะลอตัวและมีความผันผวนค่อนข้างมาก ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าเกษรตรราคายังอยู่ในระดับต่ำย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ปัจจัยบวกจริงๆคงจะมาจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก โดยเรามองว่าการลงทุนของภาครัฐฯคงเป็นตัวหลักที่จะมาขับเคลื่อน"นายทวี กล่าว
ขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ในปี 59 คาดว่าจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าจะขยายตัวได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 58 มียอดจดทะเบียน 55,658 คัน ขยายตัว 14% เทียบกับปี 57 จากความนิยมที่มีค่อนข้างสูง และมีการเปิดตัวรถใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ผู้ซื้อยังเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากภาวะเศรษฐกิจ
นายทวี กล่าวอีกว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตอย่างจำกัด เนื่องจากอยู่ในภาวะของการพักฐาน สอดคล้องกับยอดขายยอดขายรถยนต์ที่คงหดตัวลง แม้ว่าสัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะมีแนวโน้มขยับขึ้น แต่การเติบโตของหนี้ครัวเรือนไทยได้ชะลอความร้อนแรงลงเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตจากหลายๆ ปัจจัยที่เข้ามากดดันทั้งจากฝั่งอุปสงค์และอุปทาน ไม่ว่าจะเป็นภาระหนี้สะสมซึ่งอยู่ในระดับสูง ความเชื่อมั่นในการก่อหนี้ใหม่ของภาคครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มที่มีหนี้สะสมไม่สูงนักยังให้ความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอยู่ ในขณะที่สถาบันทางการเงินคงใช้นโยบายเครดิตที่ระมัดระวังต่อเนื่องจากปี 57-58 ที่ผ่านมา
ด้านแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสำหรับเช่าซื้อรถใหม่ยังคงที่ แต่หากการแข่งขันเพิ่มขึ้นบริษัทก็อาจปรับลดดอกเบี้ยลงจากปัจจุบันที่ 2.5% ระยะเวลาการผ่อน 4 ปี และเงินดาวน์ 25% แต่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) บ่ายวันนี้เชื่อว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% เพราะมองว่าดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม และในประเทศขนาดใหญ่หลายๆประเทศก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำ
นายทวี เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 58 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 655 ล้านบาท และสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 72,704 ล้านบาท เติบโต 19.13% เมื่อเทียบกับปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อใหม่เช่าซื้อและลีสซิ่ง 31,046 ล้านบาท ลดลง 7.62% และสินเชื่อผู้แทนจำหน่สยรถยนต์ (Floorplan) 41,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.91% สำหรับยอดสินเชื่อคงข้าง (Outstanding Loan) มียอดรวม 88,671 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 1.24% ซึ่งสอดคล้องกับสภาพตลาดรถยนต์โดยรวมที่มียอดขายลดลงจากปี 57