"รายได้ในไตรมาส 1 อาจจะโตได้ไม่มากนัก เพราะกำลังซื้อส่วนหนึ่งหมดไปในช่วงที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เรามั่นใจว่าทั้งปีจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 8% เนื่องจากเรายังเชื่อว่าไตรมาส อื่นๆของปีจะเติบโตได้ดี ทั้งจากงานโครงการ และสินค้าใหม่ๆที่ทางบริษัทฯนำเข้ามาจำหน่าย"นางสาวสุธิดา กล่าว
นางสาวสุธิดา กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่ระดับ 2.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 8% จากปีก่อน จากการรุกตลาดสินค้าเทคโนโลยีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยภาพรวมตลาดในประเทศ ยังมีโอกาสการเติบโตได้ ทั้งจากตลาดคอนซูเมอร์ในส่วนของสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะโอกาสดีจากตลาดองค์กรและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เช่น 4G, BIG DATA การสนับสนุนกลุ่มเอสเอ็มอีจากภาครัฐ และโปรโมชั่นต่างๆ จากผู้ผลิตที่เข้ามากระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น การสื่อสารประชาสัมพันธ์
ทั้งนี้ บริษัทฯยังเน้นการตลาด บนโลกออนไลน์ และการใช้โซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งให้ความสำคัญ ในการเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ผ่านการใช้มาสคอต Mr.Synnex & The Gang ที่เป็นตัวแทนภาพลักษณ์ขององค์กรในด้านต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับองค์กร บริการ และช่องทางการจำหน่ายของบริษัทฯ ที่มีอยู่ครอบคลุมกว่า 5,000 ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
"จากสถิติในปีที่ผ่านมา พบว่า ช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง ทำให้ซินเน็คฯ เพิ่มความสำคัญให้กับการพัฒนาเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยมีทั้งส่วนของการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย การติดตามบริการหลังการขาย การนัดหมาย รวมถึงการอัพเดทกิจกรรมและโปรโมชั่นต่างๆ ผ่านทางโซเชียลมีเดียของซินเน็คฯ อย่างต่อเนื่อง"นางสาวสุธิดา กล่าว
ปัจจุบันซินเน็คฯ มีศูนย์บริการซินเน็คฯ 11 สาขา และ SYNNEX SERVICE PARTNER ที่ได้รับการแต่งตั้งจากซินเน็คฯ จำนวน 63 แห่งทั่วประเทศ เพื่อความสะดวกผู้ใช้บริการ รับซ่อมเปลี่ยนสินค้าภายใต้การรับประกันจากซินเน็คฯ
นางสาวสุธิดา กล่าวว่า สำหรับโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มประเทศอินโดไชน่านั้น บริษัทฯได้เริ่มมาตั้งแต่ ปี 2557 ที่บริษัทฯพุ่งเป้าไปที่ประเทศเมียนมาร์, กัมพูชา, ลาว, โดยปัจจุบันมีเมียนมาร์เป็นตลาดหลัก ส่วนประเทศกัมพูชาเป็นตลาดที่น่าสนใจที่มียอดขายเติบโตที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายยอดขายต่างประเทศแตะ 1 พันล้านบาทภายในสิ้นปีนี้