บลจ.กสิกรไทยโชว์ผลงาน K-USA ช่วง 1 ปีให้ผลตอบแทน 12.99% ชนะตลาดหุ้นสหรัฐฯปี 58

ข่าวหุ้น-การเงิน Sunday February 7, 2016 09:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดเค ยูเอสเอ
หุ้นทุน (K-USA) ในปี 58 ที่ผ่านมาสามารถสร้างผลผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และเอาชนะตลาดหุ้นสหรัฐฯในภาพรวมทั้งปีที่ปรับตัว
เป็นบวกได้เพียงเล็กน้อยอยู่ที่ 1.66% ขณะที่กองทุน K-USA ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี- วันที่ 30 ธันวาคม 2558 อยู่ที่ 12.99% และ
ถือว่ามีผลการดำเนินงานดีสุดเป็นอันดับที่ 1 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มกองทุนหุ้นสหรัฐ (ข้อมูลจาก Morningstar ณ วันที่ 30 ธ.ค.
58)

ทั้งนี้ ผลงานที่โดดเด่นเกิดจากความสามารถของทีมบริหารจัดการกองทุนหลักที่มีการคัดเลือกหุ้นได้อย่างเหมาะสม ซึ่ง กองทุนหลักได้รับการบริหารจัดการโดย Morgan Stanley นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์มาจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มที่ได้รับ ประโยชน์จากการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นในชีวิตประจำวัน

บลจ. กสิกรไทยมีกำหนดจะจ่ายเงินปันผลกองทุน K-USA ในอัตรา 0.30 บาท/หน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่ วันที่ 1 พฤษภาคม 2558 - 31 มกราคม 2559 โดยกองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุด ทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 นี้ รวม มูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 192.69 ล้านบาท

นายนาวิน กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตได้ดีโดยเฉพาะจากภาคการบริโภคและภาคบริการ ในขณะที่ภาค อุตสาหกรรมชะลอตัวลง ส่วนอัตราการจ้างงานของสหรัฐฯ ถือว่าอยู่ในระดับเต็มศักยภาพของเศรษฐกิจ (Full Employment) เห็น ได้จากตัวเลขการว่างงานที่อยู่ในระดับ 5% ติดต่อกันตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2558

อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจและจะต้องจับตามองคือ จังหวะในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งถึงแม้ว่าผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ล่าสุดในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา คณะกรรมการกำหนดนโยบายการ เงิน (FOMC) จะมีมุมมองที่เป็นบวกว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ในอัตราปานกลาง แต่ปัจจัยที่ยังมี ความกังวลมาจากภายนอกประเทศ อาทิ สถานการณ์ความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลกที่ยังมีอยู่สูง ปัจจัยลบเรื่องการชะลอตัวของ เศรษฐกิจจีน รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำจนกดดันอัตราเงินเฟ้อในวงกว้าง ทำให้ตลาดต่างคาดการณ์ว่ามีความเป็น ไปได้ยากขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปี 2559 นี้ จากที่ตลาดได้เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา

"จากข้อมูลของ Bloomberg ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559 พบว่ามีนักลงทุนส่วนใหญ่ประมาณ 51% คาดการณ์ว่า ณ สิ้น ปี 2559 เฟด จะยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.25%-0.5% ดังนั้นหากเฟดยังคงดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดมาก นัก แต่หากเฟดมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดจะส่งผลกระทบทำให้เกิดความผันผวนต่อตลาดการเงินทั่วโลกรวมถึงส่งผลลบ ต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯเอง"นายนาวิน กล่าว

นายวิน กล่าวอีกว่า ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯนั้น แม้ว่าระดับราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมาพอสมควร โดยเฉพาะหุ้น ในกลุ่มพลังงานซึ่งได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ แต่ปัจจุบันระดับราคาของตลาดหุ้นสหรัฐฯถือว่าซื้อขายอยู่ในระดับที่ ค่อนข้างสูงและใกล้เต็มมูลค่า ทำให้ความน่าสนใจลงทุนน้อยลงจากอัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ลดลงหลังธนาคารกลาง สหรัฐได้ปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยราคาหุ้นสหรัฐปัจจุบันมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ(Forward P/E) อยู่ที่ 15.84 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่า เฉลี่ยระยะยาว 10 ปีที่ 14.98 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ