สำหรับกลยุทธ์การลงทุนปีนี้สินทรัพย์ที่น่าลงทุน ยังเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ (Healthcare) ยังดีมาก โดยเป็นการลงทุนในระยะยาว และกองทุนญี่ปุ่นยังน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี พร้อมกับปีนี้บริษัทยังคงขยายฐานลูกค้าค้าใหม่ ลูกค้าบุคคล และสถาบัน
น.ส.ณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) (UOB) กล่าวว่า ในปีนี้ตลาดการเงินมีแนวโน้มจะเผชิญความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การแสวงหาโอกาสการลงทุนจะต้องกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ทางการเงินและกระจายไปในหลายกลุ่มประเทศมากขึ้น ส่งผลทำให้ บลจ.ยูโอบี มีสัดส่วนกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่เติบโตขึ้น 34.23%
ทั้งนี้ ในปี 59 ยังคงแนะนำการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นยุโรป หุ้นญี่ปุ่น และกองทุนกลุ่มหุ้นเพื่อสุขภาพ (Healthcare) อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังใหัความสำคัญกับการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน
"ปีนี้เน้นดูแลนักลงทุน ในภาวะที่ตลาดผันผวน เพราะช่วงไหนที่ตลาดไม่ดีก็ไม่ได้ตั้งเป้า ซึ่งแนวทางของคณะกรรมการมุ่งเน้นปรับพอร์ตให้ลูกค้าเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี เลือกลงทุนรับมือกับตลาดผันผวน ไม่ได้เน้นชนะตลาดเรื่องขนาด แต่ให้เน้นดูแลลูกค้าปรับพอร์ตให้ทันกับตลาดผันผวนซึ่งปี 58 หุ้นโลกลง 2% แต่เราก็ยังลงทุนถูกที่ถูกทางผลตอบแทนที่ดี อย่างกองทุนญี่ปุ่นผลตอบแทน 24% กองทุนสุขภาพ 15% สิ่งที่สำคัญสุด คือเลือกประเทศลงทุนให้ถูกต้อง"
ปัจจุบัน กองทุนของบริษัทมีสัดส่วนนักลงทุนสถาบัน 55% รายย่อย 45% ซึ่งเติบโตทั้งคู่ จากต้นปี 58 สัดส่วนนักลงทุนสถาบันอยู่ที่ 49% รายย่อย 51% ในส่วนนักลงทุนสถาบันในปีนี้จะเน้นลงทุนในองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร เช่น มหาวิทยาลัย มูลนิธิต่างๆ โดยนักลงทุนสถาบันที่เซ็น MOU แล้ว ได้แก่ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)ซึ่งเป็นลูกค้าสถาบันเดิมยังให้ความไว้วางใจบริษัท และสภากาชาดไทย โดยตั้งแต่ต้นปีเข้าพบสถาบันรายใหญ่ 10 ราย คาดได้ลูกค้าราว 30% ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลปีนี้ก็ไม่น่าจะน้อยกว่าปีก่อน ส่วนการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถือเป็นข้อได้เปรียบ เพราะบริษัทติด TOP5 ผู้บริหารกองทุนดังกล่าว
น.ส.ศิริพรรณ สุทธาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย)กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในปี 59 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,350-1,450 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) คาดว่าจะเติบโตราว 10% ค่า P/E ตลาดอยู่ที่ 13.5-14.5 เท่า จากปัจจุบันอยู่ก็ที่กว่า 13 เท่า ตลาดหุ้นไทยยังให้ผลตอบแทนที่ดี โดยมีปัจจัยที่ขับเคลื่อนสำคัญคือ การลงทุนภาครัฐ การประมูลโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม โดยเฉพาะโครงการโครงสร้างพื้นฐาน
"ปีนี้ตลาดผันผวน ตอบรับปัจจัยที่ sensitive ไปมากแล้ว ปี 58 หุ้นไทย underperform ตลาดอื่น ปีนี้มองว่าน่าจะดีกว่าตลาดอื่น ถึงแม้ตลาดยังมีความกังวลอยู่ เพราะยังไม่เห็นgrowth ที่ชัดเจน แต่ตัวเลขผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ตลาดรับรู้ไปเยอะแล้วตลาดเริ่มนิ่ง การจัดพอร์ตปีนี้มองการลงทุนพื้นฐานภาครัฐ การท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มพลังงานต้องระวัง กลุ่มสื่อสารระดับราคาช่วงหลังๆ ปรับลดลงไปมากจนถึงระดับที่ดิวิเดนน่าสนใจ ซึ่งดัชนีที่กลับขึ้นไป 1,450 จุด ความเชื่อมั่นนักลงทุนน่าจะกลับมาถ้าภาวะตลาดเริ่มกังวลน้อยลง แต่ fund flow ยังไม่เห็น แนะเลือกลงทุนรายตัวมากกว่า"น.ส.ศิริพรรณ กล่าว
สำหรับภาพรวมภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ คาดว่าจะเติบโต 3.5% เนื่องจากภาครัฐมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญน่าจะมาจากการลงทุนภาครัฐ การท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แต่ตลาดหุ้นในระยะสั้นอาจจะเผชิญกับความผันผวนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศที่มีแนวโน้มค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นจะเป็นตัวกระตุ้นมูมมองเป็นบวกต่อตลาดทุนได้ในระยะยาว ดังนั้น บลจ.ยูโอบี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทยระยะยาว