อย่างไรก็ดี หากมองตลาดหุ้นไทยระยะยาวในปี 2559 ยังมีความไม่แน่นอนทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประเทศ ทำให้คาดการณ์ดัชนี SET Index มีโอกาสแกว่งตัวผันผวนในกรอบที่กว้างถึง 400 จุด (จุดสูงสุด – จุดต่ำสุด) หรือมีกรอบดัชนีที่ 1,100-1,500 จุด (อ้างอิงช่วงระดับค่า P/E ที่ 11-15 เท่า และสมมติฐาน EPS ของ SET Index ปีหน้าที่ 100 บาทต่อหุ้น) จึงมีผลทำให้การลงทุนมีความท้าทายไม่แพ้ในปี 2558 ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จึงได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของนักลงทุน ครอบคลุมทุกสไตล์การลงทุนทั้งระยะสั้น-กลาง-ยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่สูงสุด โดยแบ่งออกเป็น 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 5 - 10% ได้แก่
ผลิตภัณฑ์ “All About Technical Chart" การลงทุนแบบเทคนิคอล เน้นเก็งกำไรระยะสั้น ใช้ปัจจัยทางเทคนิคในการวิเคราะห์คัดเลือกหุ้นในพอร์ตประมาณ 5-10 บริษัท
ผลิตภัณฑ์ “Trinity Trigger" รูปแบบการลงทุนที่มีการกำหนดจุด Take Profit ของหุ้นแต่ละบริษัทที่ 5 - 10% คัดหุ้นในพอร์ต 5 บริษัท คัดเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐาน เทคนิคอล และ Sentiment
ผลิตภัณฑ์ “Quant Trading" เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง มีการแนะนำให้เลือกขาย (Short) หุ้นที่มีแนวโน้นความเสี่ยงขาลง (Downside risk) โดยที่ตลาดยังไม่ได้รับรู้ข่าวร้ายนั้น หรือใช้กลยุทธ์ Pair Trade ในการทำ Arbitrage ระหว่าง 2 บริษัท คัดเลือกหุ้นในพอร์ตจากหุ้นสามัญ, Derivative Warrant, Single Stock Futures
และผลิตภัณฑ์ “Forex Weekly Alert" เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่มี Exposure กับค่าเงินตราสารต่างประเทศ โดยเฉพาะค่าเงินสหรัฐอเมริกา (USD) เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ USD Future ในตลาด TFEX โดยใช้ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลักในการวิเคราะห์
กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับนักลงทุนระยะกลางระหว่าง 1-3 เดือน คาดหวังผลตอบแทนระดับ 10-15% ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ “The Perfect Gems" เน้นการคัดเลือกหุ้นในพอร์ตในแต่ละช่วงเวลาประมาณ 5 บริษัท โดยใช้ข้อมูลทั้ง House View และข้อมูล Consensus ใช้ปัจจัยเชิงปริมาณเป็นหลัก
กลุ่มผลิตภัณฑ์ระยะกลางถึงยาวระยะเวลาลงทุน 3-6 เดือน คาดหวังอัตราผลตอบแทนระดับ 15-20% ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ “Deep Value Stock" คัดเลือกหุ้นในแต่ละช่วงเวลาประมาณ 5 บริษัท ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ที่ควรจะเป็น หรือมีช่องทำกำไรที่สูง (Upside Gain)
และกลุ่มผลิตภัณฑ์ระยะยาวลงทุนตั้งแต่ 6-12 เดือน คาดหวังผลตอบแทนในอัตราไม่ต่ำกว่า 20% ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ “Business Model" โดยคัดสรรหุ้นในแต่ละช่วงเวลาประมาณ 5 บริษัท ที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างพื้นฐาน มีลักษณะธุรกิจเป็นผู้ชนะในระยะยาวในอุตสาหกรรม
"แม้ภาวะตลาดหุ้นไทย จะมีความน่าสนใจในแง่ของพื้นฐาน ที่มีระดับ Forward PE ของ SET Index ที่ระดับ 13 เท่า ถือว่ามีระดับที่น่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มีระดับ PE ที่ 15-16 เท่า จึงมีโอกาสสูงที่เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนเก็งกำไรระยะสั้นจะมาลงทุนที่ไทย แต่เรายังไม่เห็นสัญญาณการเข้ามาของนักลงทุนระยะยาว ที่ยังรอดูความชัดเจนทางการเมืองของไทย ตลาดหุ้นไทยจึงมีความไม่แน่นอนสูง และลงทุนมีความยากยิ่งขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้ง 7 กลุ่มที่ทำนี้เชื่อว่าจะช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในอัตราผลตอบแทนที่พอใจได้ดียิ่งขึ้น"นายณัฐชาต กล่าว