สำหรับการเติบโตของยอดขายในงวดปี 59/60 ส่วนใหญ่มาจากความต้องการใช้เหล็กเส้นก่อสร้างทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐที่ส่งผลดีต่อปริมาณการใช้เหล็กเส้น แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะผลักดันโครงการต่าง ๆ ออกมาตามแผนได้หรือไม่ โดยเฉพาะโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟทางคู่จิระ-ขอนแก่น ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาต่อรองราคา, โครงการมอเตอร์เวย์, โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีเขียว เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทคาดหวังว่าผลประกอบการในงวดไตรมาส 4 ปี 58/59 (ม.ค.-มี.ค.59) จะพลิกเป็นกำไรสุทธิ จากไตรมาส 3 ปี 58/59 ที่ขาดทุน 35 ล้านบาท และงวดบัญชีปี 58/59 ทั้งปีน่าจะพลิกเป็นกำไรสุทธิเช่นกัน จากงวดปีก่อนหน้าที่มีผลขาดทุน 609 ล้านบาท เนื่องจากงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิแล้ว 22.86 ล้านบาท
นายราจีฟ กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทคาดหวังกำไรในงวดไตรมาส 4 (ม.ค.-มี.ค.59) เนื่องจากราคาขายเหล็กเส้นปรับเพิ่มขึ้นจากงวดไตรมาส 3 นอกจากนั้น บริษัทตั้งเป้าจะกลับมาส่งออกเหล็กเส้นไปยังประเทศอินเดียอีกครั้ง หลังจากที่หยุดไปในงวดไตรมาส 3 เพราะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในอินเดีย โดยในงวดไตรมาส 4 คาดปริมาณการส่งออกไปอินเดียราว 1 หมื่นตัน จากเป้าทั้งปี 4 หมื่นตัน ซึ่งการส่งออกไปอินเดียได้ราคาที่ดีไม่ต่ำกว่า 450 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ขณะที่ราคาตลาดโลก(รัสเซีย ตุรกี ไม่รวมจีน) อยู่ที่ 370-380 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน
ในงวดบัญชีปี 59/60 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มการส่งออกไปยังอินเดียเพิ่มเป็น 5 หมื่นตัน เนื่องจาก บริษัท ทาทาสตีล ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในอินเดีย มีกำลังการผลิตไม่เพียงพอ จึงต้องนำเข้าทั้งจากบริษัทลูกในสิงคโปร์และไทย
ขณะเดียวกัน บริษัทก็จะส่งออกไปออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ด้วย คาดว่าจะได้ใบอนุญาตราวเดือน มี.ค.59 รวมทั้งจะส่งออกไปยังลาวและกัมพูชามากขึ้น เพราะนอกเหนือจากโครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี ก็ยังมีโครงการสร้างเขื่อนแห่งอื่นๆ อีก อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้จากส่งออกในงวดปี 59/60 จะยังคงอยู่ที่ราว 10-11% ใกล้เคียงงวดปี 58/59 เนื่องจากยอดขายในประเทศก็จะเติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน แต่สัดส่วนการส่งออกดังกล่าวสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 7%
นายราจีฟ กล่าวว่า แนวโน้มราคาเหล็กเส้นจากนี้ถึงเดือน เม.ย.59 ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยช่วงนี้ราคาเหล็กเส้นปลายทางอยู่ที่ 14 บาท/ก.ก. สูงกว่าเดือน ธ.ค.58 ที่อยู่ในระดับ 12.50-12.70 บาท/ก.ก. เนื่องจากปริมาณผลผลิตและสต็อกลดลงทำให้ราคาดีดตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม หลังจากเดือน เม.ย.59 ราคาคงกลับสู่ภาวะปกติ โดยคาดราคาเหล็กเส้นเฉลี่ยในปีนี้จะใกล้เคียงปีก่อนที่ 15 บาท/ก.ก.ลดลงจาก 18 บาท/ก.ก.ช่วงก่อนหน้า
อนึ่ง สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากเหล็กเส้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ 70-75% ที่เหลือเป็นเหล็กลวด เหล็กตัด ขณะที่เหล็กลวดไม่มีการปรับขึ้นราคา เพราะสินค้าจีนยังมาเข้ามาแข่งขันค่อนข้างมาก
สำหรับผลประกอบการปี 59/60 บริษัทหวังจะเป็นกำไรสุทธิดีต่อเนื่อง ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการจัดทำแผนเพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาในเดือน มี.ค.นี้
"ไตรมาส 4 ปี 58/59 หวังจะเป็นกำไร และทั้งปีก็เป็นบวก เพราะ 9 เดือนมีกำไรทั้งก่อนและหลังภาษีเป็นบวก และม.ค.-มี.ค.59 วอลุ่มขายถึงแม้ไม่เยอะกว่าไตรมาส 3 แต่ในส่วนของเหล็กเส้นก่อสร้างได้ทั้งปริมาณขายและราคาขายที่สูงขึ้น ขณะที่เหล็กลวดเมนเทนท์วอลุ่มได้ ซึ่งไตรมาส 4 มี 3 เหตุผลที่จะทำให้ผลประกอบการดีคือ ซัพพลายตลาดเหล็กลดลง ทำให้ดีลเลอร์และผู้รับเหมาก่อสร้างรับวอลุ่มมากขึ้น ราคาเหล็กเส้นสูงขึ้นช่วยได้เพราะผ่านไตรมาสมาครึ่งทางแล้ว และไตรมาส 4 จะส่งออกไปอินเดียอีกครั้ง จึงมองว่าตัวเลขไตรมาส 4 น่าจะดีกว่าไตรมาส 3"นายราจีฟ กล่าว