ทั้งนี้ บลจ.มีแผนออกกองทุนประเภท Feeder Fund ในปีนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนรวมไปถึงการจับจังหวะการลงทุนที่มีความเหมาะสมทั้งคัดเลือกกองทุนต่างประเทศ หรือหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ซึ่งการเติบโตในปีนี้จะมาทั้งกองทุนส่วนบุคคลที่คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท จากปีก่อน 1.14 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังจะเป็นการเติบโตของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 2.32 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 1.14 พันล้านบาท
ด้านนายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้จัดการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาด (market share) เป็น 0.52% จากปีก่อนอยู่ที่ 0.29% โดยแผนกลยุทธ์จะเปิดสาขาตามธนาคารเพื่อดึงลูกค้าจากทางธนาคาร โดยปีที่ผ่านมาเปิดสาขาทั้งสิ้น 4 สาขาและปีนี้จะเปิดสาขาอีกประมาณ 4 สาขา ทำให้สิ้นปีบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จะมีสาขาทั้งสิ้น 8 สาขา
นอกจากนี้จะมีการให้บริการผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้แก่ลูกค้า พร้อมกับมีการเพิ่มจำนวนมาร์เก็ตติ้งอีกเท่าตัวจากปัจจุบันที่มี 45 คน ขณะที่จะไม่มีการลดอัตราค่าคอมมิชชั่นเพื่อแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น หลังที่ผ่านมามีโบรกเกอร์หลายราย ลดค่าคอมมิชชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยปัจจุบันอัตราค่าคอมมิชชั่นของบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อยู่ที่ 0.13-0.14% ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม
"เราเชื่อว่าความน่าเชื่อถือน่าจะดึงดูดลูกค้าได้มากกว่าการลดค่าคอมมิชชั่น ซึ่งการที่ทางบล.เติบโตตามธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ถือว่ามีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง"นายกานต์ กล่าว
นายกานต์ กล่าวว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนบัญชีลูกค้าเป็น 9,000 บัญชี จากสินปีก่อนอยู่ที่ 3,600 บัญชี และปัจจุบันเพิ่มมาเป็น 4,000 บัญชีแล้ว ซึ่งปีที่ผ่านมาจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่เติบโตกว่า 200% จากการสร้างวิทยากรและการแนะนำกลยุทธ์การลงทุนซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ด้านมุมมองตลาดหุ้นไทยในปีนี้ทางบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มองดัชนี SET สิ้นปี 59 จะอยู่ที่ระดับ 1,450 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และน่าจะสามารถกลับมาดีขึ้นได้ รวมไปถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ในปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 30-40% แต่สุดท้ายแล้วผลประกอบการที่ประกาศออกมาพบว่าอัตรากำไรลดลงน้อยกว่าราคาหุ้น ทำให้เชื่อว่าปี 59 นี้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะกลับมาเป็นตัวหนุนตลาดได้
ส่วนปัจจัยเสี่ยงในปี 59 ในด้านเศรษฐกิจในประเทศ ถือว่ายังค่อนข้างทรงตัว การลงทุนของภาครัฐก็ไม่ได้เร็วอย่างที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งหากมีสถานการณ์เลวร้ายดัชนี SET อาจจะปรับตัวลงต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1,100 จุด ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เฉลี่ยอยู่ที่ 4.1-4.2 หมื่นล้านบาท
ส่วนอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ในปี 59 คาดว่าจะเติบโตได้มากกว่า 10% ตามภาวะเศรษฐกิจ โดยมองว่าหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มนาโนไฟแนนซ์ ยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากยังมีอัตราการเติบโตที่ดี ขณะที่กลุ่มที่ไม่น่าสนใจคือกลุ่มมีเดียที่มีการแข่งขันที่รุนแรง และกลุ่มสื่อสาร ที่หลังจากการประมูลคลื่น 4G มีต้นทุนที่สูงขึ้น น่าจะส่งผลให้การทำกำไรน้อยลง
พร้อมแนะนำนักลงทุนปีนี้ให้มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 30% กองทุน 50% ส่วนอีก 20% เป็นการถือเงินสด โดยภาพรวมอาจจะยังคงเป็นการ Wait & See เพื่อรอดูสถานการณ์ต่างๆให้แน่ชัด