ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้จากการส่งออกในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 59-61) เพิ่มเป็น 20% จาก 16% ของรายได้รวมในปีก่อน หลังมุ่งเน้นการขยายตลาดวัสดุก่อสร้างไปยังภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น เนื่องจากไทยก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV+I ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ,ลาว ,เมียนมาร์ ,เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มีอัตราการขยายตัวที่ดี ขณะเดียวกันจะรุกเพิ่มการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย จีน ฯลฯ จากเดิมยังคงมีสัดส่วนที่น้อยอยู่
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายไลน์สินค้าการส่งออกไปยังประเทศเมียนมาร์เพิ่มเติมจากปัจจุบันมีเพียงแค่แผ่นบอร์ด เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลังคา,ไม้สังเคราะห์ เป็นต้น เพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ราว 20% ใน 3 ปีข้างหน้า และในปีนี้เพิ่มเป็น 15% จากเดิมอยู่ที่ 10% อีกทั้งในประเทศกัมพูชา,ลาว,เวียดนาม และอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศในเอเชีย อย่าง อินเดีย จีน บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการรุกขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการผลักดันการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่แต่งตั้งขึ้นในแต่ละประเทศ ซึ่งปัจจุบันมียอดคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศดังกล่าวเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยมีความต้องการผลิตภัณฑ์แผ่นบอร์ด เพื่อใช้ในการก่อสร้างและตกแต่งที่อยู่อาศัย
"product พระเอกใน CLMV น่าจะเป็นผลิตภัณฑ์หลังคา ที่เหลือเป็นกลุ่มไม้ โดยเรามองตลาดต่างประเทศยังคงมีการเติบโตมากขึ้น จากความต้องการที่มีค่อนข้างมาก ขณะที่บ้านเรา ปีนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้าง น่าจะยังทรงตัว ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว"นายสาธิต กล่าว
ปัจจุบัน สัดส่วนยอดขายจากตลาดส่งออกของ DRT ได้แก่ กัมพูชา 50% ลาว 20% เมียนมาร์ 10% และประเทศอื่นๆในอาเซียนและเอเชียอีก 20%
นายสาธิต กล่าวว่า สำหรับตลาดรวมในประเทศปีนี้ยังคงทรงตัวต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยบริษัทยังคงนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านตัวแทนการจัดจำหน่าย และโมเดิร์นเทรด รวมถึงเรื่องของการบริการติดตั้ง เพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโตไปได้
ส่วนงบการลงทุนในปี 59 วางไว้ 100 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในเรื่องของการบำรุงรักษาเครื่องจักร ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมที่ 982,000 ตัน/ปี หรือเดินเครื่องการผลิตอยู่ที่ 70-75% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
พร้อมกันนี้ บริษัทยืนยันราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง แม้ว่าภาวะตลาดอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งผลประกอบการของบริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีนักลงทุนสถาบันเข้ามาซื้อจำนวนมาก เนื่องจากราคาค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับพื้นฐานของบริษัท ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนสถาบันเข้ามาถือครองค่อนข้างสูง แม้ว่าบริษัทยังไม่ได้มีการโรดโชว์และยังไม่มีแผนที่จะไปโรดโชว์ก็ตาม