ทั้งนี้ การทำธุรกรรมในครั้งนี้จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2559 โดยจะต้องได้รับอนุมัติจากมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทที่จะจัดขึ้นในวันที่ 21 มีนาคม 2559 เสียก่อน และเมื่อการทำธุรกรรมดังกล่าวแล้วเสร็จ บริษัทจะต้องทำการเสนอซื้อหุ้นสามัญส่วนที่เหลือทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นรายอื่นของบริษัทบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ต่อไป บริษัทบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจห้างค้าปลีกสินค้าอุปโภคและบริโภคในประเทศไทยซึ่งเปิดดำเนินงานในปี 2518 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2535 สำหรับปี 2558 บริษัทบิ๊กซี ซูเปอร์ เซ็นเตอร์มีรายได้ประมาณ 129,000 ล้านบาทและมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเกือบ 13,000 ล้านบาท การซื้อกิจการของบริษัทบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทที่วางไว้โดยมุ่งหวังจะเป็นผู้นำธุรกิจการค้าในระดับภูมิภาคที่ครอบคลุมทั้งในด้านค้าปลีกและค้าส่ง ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการซื้อกิจการในครั้งนี้ ได้แก่ การมีช่องทางในการเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่และเป็นช่องทางกระจายสินค้าของบริษัท หากการซื้อกิจการในครั้งนี้แล้วเสร็จและประสบความสำเร็จก็จะช่วยเพิ่มสถานะทางการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้แก่บริษัท ในการนี้ บริษัทจะกู้ยืมเงินระยะสั้นจำนวนไม่เกิน 220,000 ล้านบาทสำหรับการทำธุรกรรมดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทอาจพิจารณาเพิ่มทุนในสัดส่วนที่จำเป็นต่อไป แม้ว่าบริษัทจะได้รับประประโยชน์ระยะยาวจากการซื้อกิจการครั้งนี้ แต่สถานะทางการเงินของบริษัทอาจได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างเงินทุนที่ใช้ในการทำธุรกรรมนี้ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างเงินทุนและแผนการลดภาระหนี้สินของบริษัทยังไม่มีข้อสรุปในขณะนี้
ทริสเรทติ้งจะระงับเครดิตพินิจพร้อมทั้งประกาศทบทวนผลอันดับเครดิตของบริษัทเมื่อการซื้อกิจการในครั้งนี้แล้วเสร็จสมบูรณ์และการจัดการทางการเงินของบริษัทแล้วเสร็จ ทั้งนี้ การทบทวนอันดับเครดิตจะพิจารณาถึงสถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทในช่วงหลังการซื้อกิจการต่อไป