ส่วนความคืบหน้าโครงการลงทุนที่สำคัญของบริษัทก็จะมีความคืบหน้ามากขึ้น โดยโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐ คาดว่าจะมีความชัดเจนในปลายปีนี้ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดโครงการ และดำเนินการเจรจากับพันธมิตรที่มีศักยภาพทางการตลาด รวมถึงยังมีโครงการขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยได้ศึกษาโอกาสขยายการลงทุนในตลาดอินโดนีเซีย และกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง
ขณะที่โครงการ Map Ta Phut retrofit ซึ่งเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานในมาบตาพุด ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติเมื่อเดือนม.ค. เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของโรงงานในกลุ่มบริษัท ตลอดจนขยายและต่อยอดผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ (Downstrem Products) ได้มากขึ้น
รวมถึงเพิ่มศักยภาพและความยืดหยุ่นในการผลิตและทางเลือกการใช้วัตถุดิบ โดยจะมีการก่อสร้างโรงโอเลฟินส์แห่งใหม่ เพื่อผลิตเอทิลีน 5 แสนตัน/ปี และโพรพิลีน 2.61 แสนตัน/ปี โดยจะใช้แนฟทาราว 1.5 ล้านตัน/ปีเป็นวัตถุดิบ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปแผนลงทุนและมูลค่าการลงทุนได้ในไตรมาส 3/59 ซึ่งหากเป็นไปตามแผนจะสามารถคัดเลือกผู้รับเหมาได้ในปลายปีนี้ และเริ่มลงมือก่อสร้างในช่วงต้นปี 60 โดยโครงการจะแล้วเสร็จในปี 63 ซึ่งจะทำให้กลุ่มบริษัทมีการผลิตเอทิลีน เพิ่มเป็น 2.8 ล้านตัน/ปี และโพรพิลีน เพิ่มเป็นเกือบ 8 แสนตัน/ปี
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโรงโอเลฟินส์แห่งใหม่ดังกล่าว ยังได้ศึกษาการต่อยอดการผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นปลายอื่นๆเพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะเป็นลักษณะการร่วมทุนกับพันธมิตรที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์และรองรับการใช้สินค้าในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มองว่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคตด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมกับโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาดำเนินโครงการ PO/Polyols ซึ่งเป็นการลงทุน Polyurethane ครบวงจร ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจขั้นปลายน้ำสู่กลุ่มอุตสาหกรรม Polyurethane ที่มีมูลค่าสูง และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดมีความต้องการมากขึ้น ในอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ ,เฟอร์นิเจอร์และเครื่องนอน ,อุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นต้น โดยโครงการนี้คาดว่าจะออกแบบแล้วเสร็จในกลางปีนี้ และเริ่มต้นก่อสร้างในต้นปี 60
"ปีนี้ธุรกิจอะโรเมติกส์และโรงกลั่นยังพอไปได้ โอเลฟินส์อาจจะกระทบนิดหน่อยจากเรื่องของราคาซึ่งเรายังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในส่วนของราคาสินค้า commodity ปีนี้เราจะเน้นเรื่อง improve การลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้อย่างมีนัยสำคัญ...เราน่าจะสามารถรักษาระดับกำไรและมาร์จิ้นให้ได้ไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว"นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
ในปี 58 PTTGC มีกำไรสุทธิ 2 หมื่นล้านบาท และมีรายได้จากการขายราว 4 แสนล้านบาท
นายสุพัฒนพงษ์ คาดว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 30-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากระดับเฉลี่ย 50.91 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว โดยมองว่าสมดุลของอุปสงค์และอุปทานน้ำมันดิบโลกจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2/59 จากการลดการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่น คาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในปีนี้จะลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 2 เดือนในเดือนพ.ค.-มิ.ย. และทำให้ GRM ในปีนี้ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 5.45 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีก่อน
ส่วนธุรกิจโอเลฟินส์ แม้จะหยุดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์ ขนาด 1 ล้านตัน/ปี จำนวน 1 แห่งเป็นเวลา 1 เดือนที่เริ่มในปลายเดือนก.พ.นี้ ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการใช้กำลังการผลิตโดยรวม เพราะมีการเพิ่มปริมาณก๊าซอีเทนและการบริหารจัดการสต็อก ทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้ และคาดว่าสเปรดของ HDPE และแนฟทา ซึ่งเป็นวัตถุดิบ จะยังอยู่ระดับที่สูงกว่า 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์คาดว่าจะมีสเปรดปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากต้นทุนน้ำมันดิบลดลง และกำลังการผลิตทั่วโลกลดลงในไตรมาส 1/59 ทำให้สินค้าส่วนเกินหายไป อีกทั้งบริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตโรงงานอะโรเมติกส์ที่แล้วเสร็จก่อนหน้านี้
นอกจากนี้บริษัทยังจะศึกษาการลดค่าใช้จ่ายและการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของบริษัท โดยได้เจรจากับที่ปรึกษาการลงทุนรายใหญ่ 3-4 ราย เพื่อให้เข้ามาช่วยดำเนินการในเรื่องนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงต้นไตรมาส 2/59 แต่เบื้องต้นมีเป้าหมายในปีนี้จะลดค่าใช้จ่ายลงให้ได้มากกว่าในปีที่ผ่านมาที่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ราว 400 ล้านบาท
ด้านนางดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTGC กล่าวว่า สำหรับเงินลงทุนของบริษัทในช่วง 5 ปี (ปี 59-63) ที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการแล้วมีวงเงินทั้งสิ้น 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในส่วนนี้ไม่รวมโครงการขนาดใหญ่อย่างปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐ , โครงการ Map Ta Phut retrofit และโครงการ PO/Polyols โดยตามงบลงทุนดังกล่าวคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดกลับมาได้ราว 6.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเงินสดในส่วนนี้จะใช้คืนหนี้หุ้นกู้เดิมราว 1.3-1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และใช้จ่ายปันผล รวมถึงดอกเบี้ย ทำให้คาดวาจะมีเงินสดคงเหลือสำหรับลงทุนในโครงการใหม่ๆอีกราว 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาออกหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 5 ปีนี้ด้วย โดยหุ้นกู้ส่วนใหญ่ราว 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐจะใช้คืนหนี้หุ้นกู้เดิม เพื่อยืดอายุหนี้ให้ยาวขึ้น ส่วนอีกราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐ สำรองไว้ใช้ในการลงทุนต่างๆต่อไป โดยเบื้องต้นในปีนี้มีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระราว 1 หมื่นล้านบาท ทำให้คาดว่าจะออกหุ้นกู้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้คืนหุ้นกู้เดิม