ทั้งนี้บริษัทจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อตอบรับความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าในกรุงเทพฯ เป็นหลัก รวมถึงในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นการพัฒนาในเฟสต่อเนื่องและพัฒนาจากที่ดินที่แสนสิริเคยซื้อไว้เดิม รวมทั้งบริษัทจะพัฒนาโครงการที่ตอบรับความต้องการครอบคลุมกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
“ปีที่ผ่านมา บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมคอนโดมิเนียมไว้ที่ 22,000 ล้านบาท ในขณะที่คาดว่าจะสามารถทำรายได้เกินจากเป้าหมายที่วางไว้ เป็นประมาณ 23,000 ล้านบาท ซึ่งจะนับเป็นรายได้คอนโดมิเนียมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่แสนสิริเคยทำได้ โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายรวมกับการที่บริษัทเริ่มมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ซึ่งนับเป็นปีที่ดีที่สุดของแสนสิริ"นายอุทัย กล่าว
สำหรับรายได้ที่ดีในปีที่ผ่านมาเติบโตโดดเด่นจากการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมที่ทยอยโอนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นอกจากนี้บริษัทยังประสบความสำเร็จจากยอดขายคอนโดมิเนียม (พรีเซลล์) ประมาณ 17,510 ล้านบาท จากความสำเร็จจากการร่วมทุนกับบีทีเอส (BTS) ตามแผนความร่วมมือในระยะ 5 ปีที่แสนสิริและกลุ่มบีทีเอสมีแผนพัฒนาคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชนภายใต้บริษัทร่วมทุนจำนวน 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปีแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ 2 องค์กรที่มีความพร้อมและเสริมสร้างความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน
และความสำเร็จจากการขายคอนโดมิเนียมหมดอย่างรวดเร็วในวันเดียวทุกโครงการที่เปิดในปีที่ผ่านมา ทั้งโครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า และ โครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส (BTS) ในแบรนด์ “เดอะ ไลน์" ทั้ง 3 โครงการ ได้แก่ เดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิต, เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 และ เดอะ ไลน์ ราชเทวี รวมทั้งการที่ลูกค้าให้การตอบรับโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ (Ready to Move in) เป็นอย่างดีต่อเนื่องทำให้รับรู้รายได้ทันทีในปีที่ผ่านมา
นายอุทัย กล่าวอีกว่า แนวทางการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในปี 59 บริษัทจะมีทั้งการต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมาในเชิงลึกในจุดเด่นที่บริษัททำได้ดี ทั้งในเรื่องการตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนที่บริษัทมองว่ายังมีโอกาส รวมทั้งปูพื้นฐานความน่าเชื่อถือและความเป็นแบรนด์สากลระดับโลกกับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยการสานต่อความสำเร็จของโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่องอีกจำนวน 6 โครงการ มูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “เดอะ โมนูเมนต์" และ “เดอะ ไลน์" เป็นต้น
บริษัทจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ในสัดส่วนที่มากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการคอนโดมิเนียมในระดับพรีเมี่ยมของกลุ่มลูกค้าระดับบน ซึ่งมีความต้องการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยเอง ลงทุนหรือเก็บเป็นสินทรัพย์ โดยในปีนี้จะมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมในเซกเมนต์หรือระดับราคาระดับ medium–end และ hi–end เป็นส่วนใหญ่ อาทิ คอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตรประมาณ 14% คอนโดมิเนียมระดับราคา 100,000 – 200,000 ประมาณ 34% และคอนโดมิเนียมระดับราคามากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร ประมาณถึง 52% ซึ่งบริษัทเชื่อมั่นว่าตลาดระดับบนยังคงมีความต้องการและแข่งขันได้
รวมทั้งการเปิดตัวโครงการระดับไฮเอนด์ในสัดส่วนที่มากขึ้นนี้จะสอดคล้องกับการรุกทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทมีแผนการเปิดตลาดเพิ่มเติมในประเทศจีน ทั้งใน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว และเสินเจิ้น จากเดิมที่บริษัทเริ่มเปิดตลาดและประสบความสำเร็จในภูมิภาคเอเชียอย่าง ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน มาแล้ว
นายอุทัย กล่าวว่า บริษัทยังจะมีการทำการตลาดในระดับ International เพื่อสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน รวมทั้งโปรโมทโครงการระดับบนแก่ลูกค้าต่างชาติและลูกค้าไทยระดับบนอย่างต่อเนื่องจากที่เริ่มทำมาแล้วในปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้น จากการที่บริษัทพยายามจับกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างชาติมากขึ้น การทำ Collaboration กับแบรนด์ระดับโลก เพื่อยกระดับแบรนด์แสนสิริให้เข้าสู่ระดับ International มากยิ่งขึ้นก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะถึงแม้แบรนด์แสนสิริจะแข็งแกร่งมากในกลุ่มผู้บริโภคในประเทศ แต่ต้องยอมรับว่าในระดับต่างประเทศ แสนสิริจะได้เปรียบมากยิ่งขึ้น หากเลือกจับมือกับพันธมิตรระดับโลกที่เหมาะกับแบรนด์แสนสิริในเรื่องต่างๆ อันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่างชาติเช่นกัน
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายตลาดต่างชาติในปีนี้ประมาณ 5,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดขาย 3,500 ล้านบาท
นอกจากนั้นในปีนี้แสนสิริยังเตรียมเปิดตัว Flagship Project ของแสนสิริบนถนนวิทยุ ซึ่งจะเป็นโครงการที่พรีเมี่ยมที่สุดและราคาต่อตารางเมตรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเป็นคอนโดสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ในทันที ซึ่งบริษัทเตรียมเปิดตัวเร็วๆ นี้
“ในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทเตรียมโอน 2 โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมถึง 5,100 ล้านบาท ได้แก่ “ฮาสุ เฮาส์" คอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท จำนวน 310 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 80% และโครงการเดอะ“เบส เซ็นทรัล-พัทยา" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณพัทยากลาง จำนวน 1,112 ยูนิตที่จะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคมนี้ ทั้ง 2 โครงการ และจะทยอยรับรู้รายได้ทันที
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมเปิดคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ภายใต้แคมเปญ เดอะ กู๊ดไลฟ์ สนับสนุนมาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ได้แก่ ดีคอนโด อ่อนนุช – พระราม 9 ราคาเริ่มต้น 1.19 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ซึ่งเตรียมเปิดขายในวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์นี้" นายอุทัย กล่าว