ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ารุกขยายธุรกิจในไทยและอาเซียนเพิ่มเติม โดยวางแผนลงทุนขยายธุรกิจในไทย เมียนมาร์ สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซียและอินโดนีเซีย ทั้งในรูปแบบการลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าที่มีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน การร่วมทุนขยายธุรกิจและการเข้าควบรวมกิจการ (M&A) เบื้องต้นเตรียมงบลงทุนในปีนี้ 500-600 ล้านบาท
พร้อมทั้งเตรียมการระดมเงินทุนโดยนำสินทรัพย์มาเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) หรือระดมเงินทุนด้วยวิธีการออกหุ้นกู้ รวมถึงพิจารณาการกู้เงินจากสถาบันการเงินรวมไม่เกิน 3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ขยายการลงทุนสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทฯ ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
“การเปิด AEC ทำให้เกิดการลงทุนขยายฐานการผลิตในอาเซียนเพิ่มขึ้นและทำให้เกิดความต้องการผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ในแต่ละประเทศ จึงเป็นโอกาสที่ดีของ JWD ในการรุกขยายธุรกิจเพื่อผลักดันความสำเร็จด้านผลการดำเนินงานให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเราตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า หรือปี 2563 จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปัจจุบัน 8%"นายชวนินทร์ กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 58 มีกำไรสุทธิ 333 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่มีรายได้รวม 2,385 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% ซึ่งเกิดจากรายได้ในธุรกิจต่างๆ มีอัตราเติบโตที่ดี เช่น ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็งเติบโต 33.8% ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าในประเทศและข้ามแดนเติบโต 24.9% ธุรกิจรับจัดการเอกสารและข้อมูลอย่างครบวงจรเติบโต 13.1% ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตรายมีอัตราเติบโต 9.8%
นอกจากนี้ บริษัทยังประสบความสำเร็จด้านบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถควบคุมต้นทุนการให้บริการส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับสูงขึ้นเป็น 36.5% จากเดิม 35.3% ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริหารต่อรายได้รวมลดลงเหลือ 16.6% จากเดิม 17.7% รวมถึงต้นทุนทางด้านโครงสร้างการเงินที่ปรับลดลง จากการชำระคืนหนี้ให้กับสถาบันการเงินส่งผลให้อัตราหนี้สินต่อทุนลดลงเหลือ 0.9 เท่า พร้อมทั้งรีไฟแนนซ์เงินกู้ ซึ่งส่งผลดีต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของ JWD ในธุรกิจได้ดีขึ้น
ส่วนไตรมาส 4/58 มีรายได้รวม 607 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่มีกำไรสุทธิ 90.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 394% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดีนั้น เกิดจากบริษัทมุ่งขยายธุรกิจให้บริการจัดการชิ้นส่วนยานยนต์เชิงรุกแบบ On-Site Service ภายในพื้นที่โรงงานผลิตยานยนต์ของลูกค้าซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นที่ดี
ขณะเดียวกันธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ธุรกิจให้บริการจัดการเอกสารและข้อมูลแบบครบวงจรรวมถึงธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย ก็มีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ จึงช่วยเกื้อหนุนให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ผลประกอบการในไตรมาส 4/57 มีการรับรู้ประมาณการด้อยค่าทางบัญชี ส่งผลให้ผลประกอบการเปรียบเทียบระหว่างไตรมาสมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด