นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม MBKET เปิดเผยว่า เป้าหมายของกลุ่ม MBKET คือการก้าวสู่ความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคอาเซียน จึงมีแผนเร่งพัฒนาธุรกิจให้หลากหลายและครอบคลุม ทั้งทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำในธุรกิจหลักทรัพย์ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด และได้รับการยอมรับในระดับสากล
ทั้งนี้ ในปี 58 ที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 3,969.18 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 1,019.23 ล้านบาท ถึงแม้ภาพรวมในปีที่ผ่านมาจะมีปริมาณการซื้อขายต่อวันที่ปรับตัวลง และระดับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ อันเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว การลงทุนภายในประเทศของภาครัฐยังบางตา ตลอดจนความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ก็ถือได้ว่าภาพรวมรายได้และการทำกำไรก็ยังเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมของอุตสาหกรรม
ความสำเร็จหลักส่วนใหญ่มาจากรายได้ในสายงานธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 66% ดอกเบี้ยรับ 24 % วาณิชธนกิจ 4% อื่นๆ 6% ตามลำดับ ปัจจุบันหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นโบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด โดยมีส่วนแบ่งการตลาด สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ประมาณ 8.65% สามารถคิดเป็นฐานลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทฯ รวมทั้งสิ้นประมาณ 170,000 บัญชี โดยเป็นนักลงทุนที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอประมาณ 52% โดยบริษัทตั้งเป้าขยายฐานนักลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปีนี้
ด้านสายงานวาณิชธนกิจ ที่ให้บริการด้านที่ปรึกษาทางการเงิน และการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็เดินหน้าไปได้ดีตั้งแต่ต้นปี โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเตรียมการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 5-7 บริษัทในปี 59 อาทิ กลุ่มธุรกิจออนไลน์ กลุ่มพลังงาน กลุ่มกิจการเสริมความงาม กลุ่มกิจการโทรคมนาคม และกลุ่มธุรกิจจัดงานแสดงสินค้า เป็นต้น และมีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ Real Estate Investment Trust (REIT) อีกประมาณ 2-3 กอง โดยมีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท
ด้าน นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม MBKET กล่าวว่า ในด้านของธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศนั้น บริษัทมุ่งที่จะขยายฐานลูกค้ารายย่อยออกไป โดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของลูกค้ารายย่อยของบริษัทต่อลูกค้ารายย่อยทั้งหมดจาก 11.87% เป็น 13% ในปี 59 โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในด้านธุรกรรมออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น และขยายฐานลูกค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10%
ในปี 58 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์มากมาย อาทิ 1).โปรแกรม Maybank Kim Eng LINE ครั้งแรกกับบริการถาม-ตอบ ข้อมูลด้านการลงทุนทันทีตลอด 24 ชั่วโมง 2).โปรแกรม eZy Trade ให้ลูกค้าสามารถตั้งคำสั่งซื้อขายแบบมีเงื่อนไข 4 คำสั่ง คือ Stop Order, Trailing Stop, Index Stop Order และ Grab Order 3).โปรแกรม Aspen ที่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายผ่านมือถือเป็นที่แรกของประเทศไทย 4).พัฒนาโปรแกรม KEiTrade ที่มีฟังก์ชั่น Stock Radars ให้ใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีจุดเด่นด้านนวัตกรรม กับการพัฒนาระบบเทรดให้รองรับการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตมากกว่า 10 ระบบ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบัน MBKET มีสาขาทั้งหมด 34 สาขาในกรุงเทพฯ และ 24 สาขาในต่างจังหวัด (ข้อมูล ณ วันที่ 5 ก.พ. 59) อีกทั้งยังมีแผนขยายสาขาตามความต้องการด้านการลงทุนในเขตพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องด้วยปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป สามารถเข้าถึงการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านสมาร์ทโฟน และอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
การเร่งขยายสาขาเพียงอย่างเดียวนั้นจึงยังไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนได้อย่างตรงจุด บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบด้านเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย รวดเร็ว มากขึ้น โดยการพัฒนาระบบ Internet Trading มุ่งเน้นการเชื่อมต่อที่รวดเร็วแต่มีเสถียรภาพ เพื่อรองรับธุรกรรมใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น ปัจจุบัน บริษัทฯ มีลูกค้าที่เทรดผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 54.15% และที่เหลือเทรดผ่านเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุน (IC) อีก 45.85% และในอนาคตตคาดว่าสัดส่วนลูกค้าที่ทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับแผนงานอีก 1-2 ปี ข้างหน้า เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เช่น 1)Selling Agent ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้สนับสนุนการขาย และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งสิ้น 14 บลจ.รวมกว่า 1,000 กองทุนมีกองทุนทุกประเภททั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนตราสารทุน กองทุนต่างประเทศ รวมไปถึง LTF และ RMF นอกจากนั้นบริษัทยังเข้าร่วมโครงการ Fund Service Platform ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการยกระดับ และพัฒนาอุตสาหกรรมกองทุนรวม เพื่อวางมาตรฐานกระบวนการทำงานของกองทุนรวม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และขยายช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมได้สะดวกยิ่งขึ้น
2)โปรแกรม IRESS โปรแกรมซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ที่รองรับการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมกว่า 30 ตลาดทั่วโลก พร้อมกันนั้นบริษัทยังมีบทวิเคราะห์หุ้นต่างประเทศ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกลุ่มเมย์แบงก์ ที่มีทีมงานคุณภาพพร้อมคอยให้บริการและผลิตบทวิเคราะห์ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ของกลุ่มเมย์แบงก์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายในปัจจุบัน 3).ต่อยอดโปรแกรม Algo Trading พัฒนาโปรแกรม eZy Trade ให้สามารถซื้อขายบนระบบ Settrade Streaming ผ่านโทรศัพท์มือถือของลูกค้าได้ รวมถึงพัฒนาโปรแกรม eFin Auto Trade บนทุก Platform ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือทั้งระบบปฏิบัติการ ios และ Android เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าใช้บริการ 4).โปรแกรม LINE บริษัทมีแนวทางพัฒนาให้ลูกค้าสามารถส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านโปรแกรม LINE เพิ่มโอกาสในการซื้อขายหุ้น และเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้กับลูกค้า