นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AIT เปิดเผยว่า ปี 59 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% หรือแตะ 5,700 ล้านบาท จากปี 58 ที่ 5,134 ล้านบาท โดยปีนี้จะโตจากธุรกิจหลักด้าน SI หรืองานวางระบบเทคโนโลยี การขายงานโครงการ ขยายฐานลูกค้ามากขึ้น โดยโปรดักส์จะเน้นงานโครงการมากขึ้น การลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ โมบายแอพพลิเคชั่น การลงทุนด้านเทคโนโลยีในประเทศเพื่อนบ้านหรือสมาร์ทคันทรีเทคโนโลยี (SCT)
ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (backlog) แล้ว 3,000 กว่าล้านบาท ส่วนใหญ่รับรู้รายได้ปีนี้ทั้งหมด
โดยปีนี้ตั้งงบลงทุนรวม 800 ล้านบาท แบ่งเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ 400 ล้านบาท โครงการในพม่าเดินสายเคเบิ้ลใต้น้ำ จากพม่ามาไทยราว 3 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เหลือรองรับการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาว กัมพูชา
ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในปีนี้คาดว่าจะมีการร่วมกับพันธมิตรจัดตั้งบริษัทร่วมทุนได้ 2 แห่งในไทย รอนำเสนอคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ซึ่งถ้าจัดตั้งบริษัทในปีนี้ ปี 60 เริ่มรับรู้รายได้ เชื่อว่าใน 3-5 ปีถึงจุดคุ้มทุน ส่วนโครงการลงทุนในประเทศเมียนมาร์ที่ร่วมกับพันธมิตรในโครงการ MYTHIC Submarine Cable หรืองานเคเบิ้ลใต้น้ำ จากพม่ามาไทยได้ใบอนุญาตสร้างแล้ว รอเรื่องอินฟราสตรัคเจอร์ต่างๆ
"ดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะเรามีพันธมิตร ตลาดในไทยยังไม่เกิน ยังมีความต้องการอยู่ เชื่อว่าความต้องการยังมีอีกมาก เราน่าจะเติบโตได้ แม้เพิ่งเริ่มทำ โดยคาดมีรายได้ดาต้าเซ็นเตอร์ปีหน้า และรีเทิร์นไม่เกิน 3-5 ปี ต้องถึงจุดคุ้มทุนเชื่อว่าลูกค้ามาเช่าใช้มากจำนวนหนึ่ง ส่วนการลงทุนในพม่าปีนี้น่าจะเห็นการลงทุนวางโครงการ ส่วน SCT ขณะนี้เริ่มมีการเจรจากับพันธมิตรในลาวและกัมพูชาแล้ว มูลค่างานโครงการละกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเจรจาอยู่หลายงาน เราก็หวังว่าจะได้เพราะคุยมานานแล้วโดยเฉพาะในลาว เป็นงานวางระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เป็นลักษณะแชร์รายได้กัน ซึ่งในประเทศเพื่อนบ้านบางโครงการก็ร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์เราที่ทำอยู่แล้ว เช่น SAMART LOXLEY เป็นต้น ซึ่งปีนี้การลงทุนในต่างประเทศก็จะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น" นายศิริพงษ์ กล่าว
บริษัทเตรียมยื่นประมูลงานใหม่มูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท ได้แก่ งานของการรถไฟแห่งประเทศไทย 4,000 ล้านบาท งานงานวางระบบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นงานเอกชนทั่วๆไป โดยหวังได้งานราว 40-50% ของมูลค่างานที่ยื่น
ในปีนี้บริษัทจะรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 58 ที่ 9.9% และอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้คาดไม่ต่ำกว่า 24% จากปี 58 ที่ 22-23% โดยการบริหารจัดการต้นทุนให้ดีที่สุด
ปีนี้คาดจะมีมูลค่างานการลงทุนด้านไอทีในภาพรวมเกิดขึ้นราว 40,000 ล้านบาท จากการโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีจากภาครัฐที่มีความจำเป็นอีกหลายโครงการ
"วงเงินรัฐบาลทำไฮสปรีดบรอดแบนด์ ซึ่งก็เห็นการเข้าถึงหมู่บ้านเข้าถึงดิจิตัล จึงเชื่อว่ามีโครงการอีกหลายส่วน ทั้งคมนาคม ขนส่ง ปีนี้จึงมองอุตฯไอทีโตมากกว่าปี 58 ซึ่งโครงสร้างรายได้ของ AIT ยังเป็นงานภาครัฐ 80% เอกชน 20%"นายศิริพงษ์กล่าว