ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างยื่นคำขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีโครงการโซลาร์รูฟต่อสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน (BOI) คาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในครึ่งแรกของปีนี้ จากนั้นจะดำเนินการติดตั้งได้ใช้ระยะเวลาราว 2-3 เดือน และจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ในช่วงไตรมาส 3/59 จากนั้นต้นทุนค่าไฟฟ้าจะลดลงราว 5 ล้านบาท/ปี จากเดิมที่มีภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าวราว 42 ล้านบาท/ปี
ขณะที่ยังมีแผนออกโปรดักซ์ใหม่จำนวน 1 รุ่น ในช่วงเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ที่น่าจะทำให้กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นได้ ขณะเดียวกันคาดอัตรากำไรสุทธิปีนี้ก็จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6% จากปีก่อนอยู่ที่ 4.29% และอัตรากำไรขั้นต้นก็จะปรับเพิ่มขึ้นราว 1-2% จากเดิมอยู่ที่ 14.51%
บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายปี 59 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 796 ล้านบาท จากแผนการรุกตลาดในประเทศด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คาดจะเปิดตัวได้ในไตรมาส 2/59 ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ยังไม่เคยมีในตลาด อีกทั้งบริษัทก็อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อนำสินค้าจำนวน 2 รุ่นใหม่ไปเจาะตลาดอินเดีย คาดจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และน่าจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทปีละไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ไม่เกิน 100 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้ในส่วนของการตลาด จัดทำโปรโมชั่น เพื่อส่งเสริมการขาย ไม่เกิน 20 ล้านบาท และลงทุนโซลาร์รูฟ อีกจำนวน 50-80 ล้านบาท
"ภาพรวมของปี 59 เรามองว่าเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวอยู่ และยังมีเรื่องของภัยแล้งเข้ามาเพิ่มอีก ซึ่งน่าจะส่งผลให้กำลังซื้อภาคประชาชนจะยังคงไม่กลับมามากนัก โดยเราก็มีการดำเนินกลยุทธ์ ทั้งการลดกำลังการผลิต ลดค่าใช้จ่ายด้านค่าไฟฟ้า จากที่เราได้สิทธิทางภาษี BOI ทำให้เราลดค่าใช้จ่ายดังกล่าวลงได้ ขณะที่เราคาดรายได้ปีนี้ทำได้ 1,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงมีสัดส่วนรายได้มาจากการส่งออก 55% และในประเทศ 45%"นายชัยสิทธิ์ กล่าว