อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายพรีเซลล์ลดลงมาอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 2.62 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากมูลค่าโครงการใหม่ในปีนี้ลดลงจากปีก่อน โดยปีนี้วางแผนการเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 58 มีมูลค่าโครงการใหม่สูงถึง 3.48 หมื่นล้านบาท
สำหรับโครงการใหม่ในปีนี้ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม 9 โครงการ มูลค่า 1.87 หมื่นล้านบาท และโครงการแนวราบ 3 โครงการ มูลค่า 3.3 พันล้านบาท โดยในไตรมาส 1/59 บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครการ คือ โครงการแอชตัน สีลม มูลค่า 6 พันล้านบาท ราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท และโครงการไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ มูลค่า 2.92 พันล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการเป็นการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง
ขณะที่ปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินไว้ที่ 8.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ไช้ไป 5.2 พันล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต
"แม้ว่าความต้องการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ายังมีเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่บริษัทก็ใช้ความระมัดระวังในการวางเป้าหมายการดำเนินงานโดยตลอด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะหนี้ภาคครัวเรือน และปัญหาเศรษฐกิจจีน แต่อย่างไรก็ตามปีนี้ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญของอนันดาฯ ในการเข้าสู่ช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) บริษัทตั้งเป้ายอดโอนจะเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า ตั้งแต่ 58 ถึงปี 61"นายชานนท์ กล่าว
นายชานนท์ กล่าวว่า ยอดขายรอรับรู้รายได้รวมในปีนี้ ส่วนแบ่งยอดโอนเฉพาะของอนันดา อยู่ที่ 8.6 พันล้านบาท คิดเป็น 65% ของเป้ายอดโอนในปี 59 โดยเงินลงทุนจากการเสนอขายให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ได้นำมาพัฒนาโครงการและมีการเปิดขายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งการก่อสร้างได้แล้วเสร็จและเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ โดยจะเริ่มสร้างผลตอบแทนจากยอดโอนในปี 59 จำนวน 5 โครงการ
สำหรับกระแสเงินสดของบริษัทยังมีความแข็งแกร่ง โดยมีนโยบายรักษาระดับเงินสดในบริษัทอย่างน้อย 1 พันล้านบาทอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสามารถเลือกขึ้นมาใช้ได้ตามสถานการณ์ แม้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังคงรักษาความมีวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด โดยดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุน ต่ำกว่า 1:1
ด้านนายเสริมศักดิ์ ขวัญพ่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการลงทุน ANAN คาดว่ากำไรสุทธิในปี 59 จะมากกว่าระดับ 1.2 พันล้านบาทในปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (SG&A) ให้ลดลง ซึ่งมาจากค่าใช้เปิดโครงการที่ลดลงตามมูลค่าโครงการเปิดใหม่ที่ลดลงจากปีก่อน ทำค่าใช้จ่ายการตลาดลดลงค่อนข้างมากมาก ส่งผลดีกับความสามารถในการทำกำไร ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะอยู่ที่ 34-35% ลดลงจากปีก่อนที่ 39% เนื่องมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่มีมาร์จิ้นต่ำ
นอกจากนี้ยังมีแผนทยอยออกหุ้นกู้ไนปีนี้ มูลค่ารวม 3.9 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะเป็นหุ้นกู้ที่ออกเพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดในไตรมาส 3/59 มูลค่า 2.4 พันล้านบาท และเป็นหุ้นกู้ที่ออกใหม่มูลค่า 1.5 พันล้านบาท อายุหุ้นกู้ที่จะออกราว 1-3 ปี โดยบริษัทได้อันดับเครดิตเรตติ้งจากบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด ในอันดับ "BBB-"
นายชานนท์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 58 ว่า บริษัทสามารถทำยอดขายเป็นสถิติใหม่สูงกว่า 2.63 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อนหน้า บ่งชี้ถึงความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้ายังมีอยู่มาก และมีรายได้ 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อนหน้า แต่ใส่วนกำไรสุทธิลดลง 7% มาที่ 1.2 พันล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวเนื่องในการเปิดขายโครงการใหม่ตลอดปี 58
ในปี 58 บริษัทยังคงมีการร่วมทุนอย่างต่อเนื่องกับมิตซุย ฟูโดซัง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม และได้ประกาศร่วมทุนเพิ่มอีก 5 โครงการ รวมเป็นโครงการร่วมทุน 9 โครงการ ด้วยมูลค่าโครงการรวมสูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาท