(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งในกรอบคล้ายภูมิภาค หลังตัวเลขศก.สหรัฐฯดีกว่าคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 29, 2016 09:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ เนื่องจากตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวคละกันทั้งในแดนบวก-ลบ โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวลง แต่ตลาดประเทศอื่นก็ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ภายหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯเมื่อคืนวันศุกร์ออกมาดีกว่าคาดา ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ซึ่งก็ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อ่อนตัวลง

อย่างไรก็ดี ตลาดฯยังมีปัจจัยบวกจากผลการประชุม G20 ที่สนับสนุนให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยตลาดฯได้บ้าง แต่ในช่วงต้นสัปดาห์นี้จะมีการประกาศตัวเลข PMI ภาคการผลิตของหลายประเทศ ซึ่งตลาดก็คาดว่าจะออกมาไม่ดี

ดังนั้น เมื่อดัชนีฯปรับตัวขึ้นก็อาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาได้ โดยเฉพาะที่บริเวณแนวต้าน 1,350 จุดขึ้นไป เป็นจุดที่มองว่าน่าจะมีแรงขายมากขึ้น ส่วนแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1,360 จุด และแนวรับให้ไว้ที่ 1,335-1,330 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (26 ก.พ.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 16,639.97 จุด ลดลง 57.32 จุด (-0.34%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,590.47 จุด เพิ่มขึ้น 8.26 จุด (+0.18%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,948.05 จุด ลดลง 3.65 จุด (-0.19%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 124.90 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 12.40 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 2.02 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.60 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 16.69 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.46 จุด

ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้ (29 ก.พ.) เนื่องในวันรำลึกสันติภาพ

  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (26 ก.พ.59) 1,343.07 จุด เพิ่มขึ้น 9.65 จุด (+0.72%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,347.72 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 ก.พ.59
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (26 ก.พ.59) ปิดที่ 32.78 ดอลลาร์/
บาร์เรล ลดลง 29 เซนต์ หรือ 0.9%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (26 ก.พ.59) ที่ 7.54 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 35.73/75 จับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯในสัปดาห์นี้
  • นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ธปท.พร้อมจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก ถ้าสภาพการณ์เศรษฐกิจโลกไม่เคลื่อนไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อติดลบช่วงนี้ เป็นผลมาจากราคาน้ำมันถูกหากราคาน้ำมันไม่ปรับลดลงแรงต่อไปอีกอัตราเงินเฟ้อน่าจะฟื้นตัว
  • นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการเดินทางเยือนรัสเซีย วันที่ 23-25 ก.พ.ที่ผ่านมาว่านักธุรกิจรัสเซียต้องการลงทุนและค้าขายกับไทย โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ อาทิ Russian Technologies State Corpo ration (Rostec) ที่มีสินค้าตั้งแต่รถยนต์ การบิน ไอที ยา รวมถึงยางรถยนต์ และธุรกิจท่องเที่ยวและสปา รวมทั้งสนใจลงทุนในโครงการรถไฟ และต้องการซื้อยางจากไทยเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยางรถยนต์
  • ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือน มี.ค.นี้กองทุนโครงสร้างเพื่ออนาคตประเทศไทย (ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์) จะเปิดดำเนินการ และจะเริ่มระดมทุนส่วนแรก 1 หมื่นล้านบาท จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ 1 แสนล้านบาท โดยเสนอขายแบบเจาะจงให้นักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนวายุภักษ์ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ก่อนเป็นอันดับแรก
  • นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประธานกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2559 สคฝ.จะลดการคุ้มครองวงเงินเหลือเพียง 1 ล้านบาท ต่อ 1 บัญชี ต่อ 1 สถาบันการเงิน จากเดิมที่คุ้มครองเงินฝากที่ 25 ล้านบาท ซึ่งไม่มีผลต่อผู้ฝากเงิน เนื่องจากสัดส่วนผู้ฝากเงินต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีอยู่สูงถึง 98.24% ของผู้ฝากเงินทั้งสิ้น 68.9 ล้านบัญชี จากวงเงินฝากประมาณ 12.3 ล้านล้านบาท
  • สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีเอกชนจากจีน เกาหลี และยุโรป สนใจเข้ามาลงทุนโครงการรถไฟฟ้ารางเบา หรือไลท์เรล เส้นทางท่าอากาศยานนานาชาติ จ.ภูเก็ตห้าแยกฉลอง รวมระยะทาง 60 กิโลเมตร จำนวน 23 สถานี โดย สนข.ตั้งเป้าเปิดใช้บริการในปี 2564

*หุ้นเด่นวันนี้

  • BEM (ทรีนีตี้) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า 5.90 บาท ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจเผชิญความผันผวนจากกระแสการประมูลงานโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และการประมูลสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ส่วนรายได้ในปี 59 จะมาจากการเติบโตของปริมาณจราจรทางด่วน, จำนวนผู้โดยสาร, เปิดเดินรถสายสีม่วง (คลองบางไผ่-เตาปูน) ใน ส.ค.ส่งมอบความสุขให้ 2 ต่อ จากการบริหารการเดินรถสายสีม่วง และ upside ให้กับสายสีน้ำเงินเส้นทางปัจจุบัน (หัวลำโพง-ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์-บางซื่อ) และการเปิดเส้นทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกในช่วง 2H59 ซึ่งคาดจะทำให้รายได้ของบริษัทจะเติบโตขึ้นกว่า 20%
  • BEAUTY (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6.10 บาท กำไรไม่หยุดทำ new high +29% Q-Q, +25% Y-Y ดีกว่าคาด Growth story ไม่จบ คาดกำไรสุทธิ 3 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ย 22% จากการขยายสาขาในประเทศ 50 สาขา ต่างประเทศ 18 สาขา เพิ่มช่องทางออนไลน์ผ่าน Beautyplaza และเพิ่ม SKU สินค้านวัตกรรมใหม่ โครงสร้างการเงินแกร่ง ไม่มีหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ย ROE 43% จ่ายปันผล 99% ของกำไร จึงสมควรซื้อขายที่ PE สูง ปัจจุบันมี PBV และ PE ที่ 14 และ 32 เท่า ยังมี Upside
  • BLA (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 56 บาท พลิกจากขาดทุนใน 3Q15 เป็นกำไรสุทธิ 2,285 ล้านบาทใน 4Q15 แต่ทรงตัว Y-Y ดีกว่าเราและตลาดคาดเพราะกลับรายการสำรองฯที่ตั้งไว้ และเบี้ยประกันภัยรับสุทธิสูงกว่าคาด ทำให้กำไรทั้งปี +54% Y-Y เราคงกำไรปีนี้ที่คาด -27% Y-Y เพราะบริษัทต้องการส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นทำให้ต้องออกประกันระยะสั้นเพิ่ม ทำให้อาจต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น
  • KAMART (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 9.50 บาท กำไรสุทธิ 4Q58 พุ่งแรง 74% Q-Q โดยมีการตีมูลค่าสินค้าเพิ่มขึ้น 10 ล้านบาท หากตัดรายการดังกล่าวออก กำไรปกติยังเพิ่มสูง +46% Q-Q, +3% Y-Y จากค่าใช้จ่ายโฆษณาลดลง โดยเชื่อว่าปี 59 จะเป็นปีทองเพราะตัดขาดทุนธุรกิจเก่าหมดแล้ว แบรนด์รู้จักมากขึ้น การผันไปทำต้นน้ำคือผลิตเองจะช่วยเพิ่มมาร์จิ้น และอุตสาหกรรมเครื่องสำอางขยายตัว 10-15%
  • BANPU (โกลเบล็ก) เป้า 22 บาท คาดปี 59 พลิกกำไร 1,510 ลบ.(+198% YoY) จากโรงไฟฟ้า BLCP และโรงไฟฟ้าหงสาผลิตไฟฟ้าครบทั้ง 3 หน่วย ชดเชยผลประกอบการถ่านหิน โดยปรับลดการลงทุนในธุรกิจถ่านหินเพื่อเน้นธุรกิจโรงไฟฟ้าสู่ 2.4 GW ในปี 63 โดยในปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ราว 1.63 GW (รวมหงสา 3 หน่วย) นำ BANPU POWER (BPP) เข้าตลท.ในช่วง 2H59 ช่วยชำระคืนเงินกู้แก่ BANPU ราว 400 ล้านดอลลาร์ และลดภาระดอกเบี้ยได้ราว 800 ล้านบาทต่อปี
  • SUTHA(ไอร่า) เป้า 8.30 บาท คาดปี 59 รายได้และกำไรสุทธิ 1,049 ล้านบาท และ 146 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% และ 26% ตามลำดับ คาด Div.Yield ประมาณ 5-6% โดยเพิ่มเตาผลิตปูนขาว 1 เตารวมเป็น 7 เตา เพิ่มกำลังการผลิตอีก 15% เพื่อรองรับ Demand ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมน้ำตาลที่รัฐสนับสนุนขยายพื้นที่ปลูกอ้อย และการออกใบอนุญาตโรงงานน้ำตาลในช่วงปลายปี 58 และการส่งเสริมให้ชาวนาหันมาปลูกอ้อยช่วยสนับสนุนการเติบโตระยะยาว โดยสัดส่วนลูกค้าโรงงานน้ำตาลของ SUTHA มีประมาณ 21% ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมเหล็กและเคมี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ