บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) โดยมองกำไรปกติในไตรมาส 4/58 ดีกว่าคาดจากต้นทุนวัตถุดิบลดลง แนวโน้มกำไรปกติเติบโตดีขึ้นในปี 2559 เป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบปลาทูน่ายังทรงตัวในระดับต่ำที่ 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งเป็นราคาในเดือนม.ค. ทำให้สินค้าแบรนด์มีอัตรากำไรดี ขณะที่ประเมินว่า ผลประกอบการปีนี้จะถูกผลักดันจากธุรกิจกุ้งในสหรัฐฯ จากการฟื้นตัวของราคากุ้ง, Chicken of the Sea ปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และการรวมธุรกิจ Rugen Fisch โดยเชื่อว่า TU มีศักยภาพการเติบโตมั่นคงจากการออกสินค้าใหม่ที่มีความแตกต่าง อีกทั้งมีการขยายตลาด
นอกจากนั้น ยังมีการลงทุนซื้อกิจการอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์ผลักดันยอดขายให้ถึง 8 พันล้านเหรียญฯ ในปี 2563 ตามเป้าหมาย พร้อมให้ราคาเป้าหมาย (PER 16 เท่า) 21.50 บาท
โดยกำไรไตรมาส 4/58 ดีกว่าคาดมีกำไรสุทธิเท่ากับ 757 ล้านบาท (-53% QoQ, +8% YoY) หากไม่รวมรายการพิเศษ คือ การด้อยค่าของสินทรัพย์ของธุรกิจกองเรือ 508 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการเตรียมเพิ่มทุนเพื่อซื้อ Bumble Bee 211 ล้านบาท และ ค่าใช้จ่ายอื่นๆเกี่ยวกับการซื้อกิจการ 57 ล้านบาท กำไรปกติเท่ากับ 1,533 ล้านบาท ดีกว่าที่คาดการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 75% YoY เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบปลาทูน่าลดลง และสินค้าแบรนด์มีอัตรากำไรสูงขึ้น
ขณะที่ยอดขายเติบโต 2% จากงวดปีก่อน จากการอ่อนค่าของเงินบาท และ ปริมาณขาย กุ้ง แซลมอน และ ซาร์ดีน เพิ่มสูงขึ้น กำไรปกติปี 2558 เท่ากับ 5,539 ล้านบาท (-2% YoY) TU ประกาศจ่ายเงินปันผลครึ่งหลังปี 58 เท่ากับ 0.31 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.6%