อีกทั้ง บริษัทเตรียมออกโปรโมชั่นต่างๆ กระตุ้นยอดขาย โดยเฉพาะได้ร่วมกับ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) บริษัทย่อย เพิ่มช่องทางทางการเงินภายใต้แบรนด์ เจ มันนี่ (J-Money) ให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าของ JMART สามารถผ่อนสินค้าในระยะเวลาที่ยาวขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จากความร่วมมือกับ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ในช่วงที่ผ่านมาในการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือผ่านช่องทางของ SINGER เชื่อว่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการสร้างความหลากหลายในเรื่องช่องทางการจัดจำหน่าย และเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้
ทั้งนี้ ในปี 59 บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ 140 ล้านบาท แบ่งเป็น 100 ล้านบาทสำหรับขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 20 แห่งในปีนี้ จากสิ้นปี 2558 ที่ผ่านมา บริษัทมีสาขาทั้งสิ้น 244 สาขา ทำให้สิ้นปีนี้มีสาขาเพิ่มเป็น 264 สาขา และอีก 40 ล้านบาทสำหรับกิจกรรมทางการตลาด และการออกอีเว้นท์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย
นอกจากนี้ยังมีแผนเข้าซื้อกิจการในธุรกิจที่จะช่วยผลักดันการเติบโตให้กับบริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด โดยวางงบลงทุนส่วนนี้ไว้ 100 ล้านบาท
"ปีนี้เราน่าจะเติบโตไปตามเป้าหมายได้ ขณะที่ในไตรมาส 1/59 ก็มีทิศทางการเติบโตที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 4/58 และดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็นผลมาจากยอดขายมือถือที่น่าจะขายได้เพิ่มขึ้น หลังมีเรื่องของ 4G เข้ามา ทำให้กระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามหากไม่มีผู้เล่นรายใหม่ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับบริษัท ซึ่งยังคงสร้างยอดขายได้อย่างดี อีกทั้งการเปิดตลาดของ 4G ก็เป็นโอกาสที่ผู้จำหน่ายมือถือจะสร้างยอดขาย อยู่ที่กลยุทธ์ของแต่ละราย"นายอดิศักดิ์ กล่าว
นายอดิศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมตลาดโทรศัพท์มือถือในเมียนมาร์มีแนวโน้มเติบโตอีกมาก จึงมองว่าเป็นโอกาสที่สำคัญในการขยายธุรกิจ โดยปัจจุบัน JMART มีสาขาในเมียนมาร์แล้วทั้งหมด 18 แห่งส่วนใหญ่อยู่ในกรุงย่างกุ้ง และในปีนี้คาดว่าจะเปิดเพิ่มอีก 5-7 แห่ง เพื่อสนับสนุนยอดขายต่างประเทศให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น แม้ปัจจุบันยังมียอดขายไม่มากนัก เพราะเป็นช่วงเริ่มต้นของธุรกิจ
ขณะที่บริษัทยังได้รับประโยชน์จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายไม่กี่รายที่ซื้อไอโฟนได้โดยตรงจากแอปเปิล สนับสนุนให้มาร์จิ้นในสินค้าดังกล่าวดีขึ้น นอกจากนี้ ภาพรวมธุรกิจบริษัทย่อยทั้ง JMT และบมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) มองว่ามีแนวโน้มเติบโตที่ดีต่อเนื่องเช่นกัน จึงมั่นใจจาก Business model ที่มีความแข็งแกร่งจะสนับสนุนผลงานทั้งปีนี้
ส่วนผลการดำเนินงานงวดปี 58 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 9,510.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.19% จากปีก่อนหน้า และมี กำไรสุทธิอยู่ที่ 322.64 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.62 บาท ลดลงเล็กน้อยจากปี 57 ที่มีกำไรสุทธิ 328.74 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.67 บาท
"ผลงานของบริษัทในปี 2558 ที่ออกมาใกล้เคียงกับปี 2557 เนื่องจากภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2558 ที่ผ่านมา ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องจากมีสินค้ารุ่นใหม่ที่ทยอยออกสู่ตลาด ซึ่งส่วนใหญ่มีราคาขายเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น อีกทั้ง การให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้าที่ซื้อสินค้าเจมาร์ท ภายใต้แบรนด์ J Money ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในช่วงปลายปี บริษัทได้รับอานิสงส์จากภาครัฐที่ได้ออกแคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจ สนับสนุนยอดขายทั้งปีปรับตัวดีขึ้นได้"นายอดิศักดิ์ กล่าว