ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างพูดคุยกับผู้ประกอบการอยู่ 2 รายที่มีความแข็งแกร่งในธุรกิจของตัวเอง และการพูดคุยคืบหน้าไปพอสมควรแต่ยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าข้อสรุปจะจบลงเมื่อใด แต่บริษัทฯ ก็จะพิจารณาอย่างรอบคอบและคาดว่าอย่างเร็วที่สุดก็น่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ ซึ่งบริษัทเชื่อมั่นว่าจะเข้ามาสนับสนุน XO ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นและช่วยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ในระยะยาว
อนึ่ง ล่าสุด มติคณะกรรมการ XO เมื่อวันที่ 26 ก.พ.59 มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 35,100,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 70,200,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 หรือ XO-W1 จำนวนไม่เกิน 70,000,000 หุ้น ที่จัดสรรจัดให้ผู้ถือหุ้นเดิม สัดส่วน 5 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยไม่คิดมูลค่า
XO-W1 มีอายุไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ อัตราใช้สิทธิ 1 ต่อ 1 ในราคา 4 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิซื้อหลักทรัพย์แปลงสภาพ (XW) 3 พ.ค.59 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรร 9 พ.ค.59 และกำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้น 25 เม.ย.59
"บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่า การเพิ่มทุนในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดเพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุน เวียนเพื่อขยายกิจการในอนาคต"นายจิตติพร กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีกำลังการผลิตสินค้าค่อนข้างเต็มกำลังการผลิตแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประเภทซอส ซึ่งเป็นกลุ่มรายได้หลักของบริษัทฯ คิดเป็นสัดส่วน 67% ของยอดขายทั้งหมด ทำให้การรับออเดอร์จากลูกค้าทำได้ไม่เต็มที่
แต่หลังจากโรงงานใหม่ที่นิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง แล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 3/29 สนับสนุนให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตสินค้าประเภทซอสเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หรืออยู่ที่ประมาณ 1.4 หมื่นตันต่อ 1 กะ จากปัจจุบันอยู่ที่ 7 พันตัน/1 กะ และทำให้บริษัทฯ สามารถรองรับความต้องการซื้อได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนลดลง โดยในช่วงเริ่มต้นโรงงานแห่งใหม่บริษัทฯ จะมีไลน์ผลิตซอสทั้งสิ้น 2 ไลน์ก่อนจากพื้นที่ในโรงงานใหม่ที่สามารถเพิ่มไลน์การผลิตซอสได้เต็มที่อีกทั้งสิ้น 4 ไลน์ในอนาคต
สำหรับผลประกอบการงวดปี 58 บริษัทฯ มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 740.11 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 734.95 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากการขายที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลจากบริษัทฯ มีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 85.84 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 86.20 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และคาดว่าช่วงต่อจากนี้ผลกระทบดังกล่าวจะน้อยลงมาก เนื่องจากบริษัทได้เปลี่ยนยอดขายสินค้าให้เป็นเงินบาทแล้ว 48% ของยอดขายทั้งหมด
“บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แม้กลุ่มลูกค้าหลักในยุโรปจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และมีการชะลอการสั่งซื้อสินค้าอยู่บ้าง แต่ภาพรวมทั้งปีก็ยังอยู่ในทิศทางที่ดี ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทขายสินค้าเป็นสกุลเงินยูโรเป็นหลักสูงถึง 72% จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่พอสมควร เพื่อควบคุมความเสี่ยงดังกล่าว บริษัทก็ได้มีการเจรจากับทางลูกค้าเพื่อเปลี่ยนยอดขายจากจากสกุลเงินยูโรเป็นเงิน บาทให้ได้มากที่สุด โดยเมื่อสิ้นปี 58 มียอดขายเป็นเงินบาทแล้ว 48% ของยอดขายทั้งหมด และเป็นสกุลเงินยูโร 26% สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 26%" นายจิตติพร กล่าว