"ปี 59 คาดกำไรใกล้เคียงปีก่อน เพราะสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้อก็ไม่อยากจะปรับเป้าเพิ่มขึ้นจะพยายามให้เท่ากับปีก่อน เพราะปีนี้ไม่ค่อยดีเศรษฐกิจทั้งญี่ปุ่น ยุโรป ซึ่งเป็นตลาดหลัก คู่ค้าการลงทุนหลักของไทย ดอกเบี้ยก็ติดลบ เพราะฉะนั้น 2 ปีนี้ เป็นการปรับฐาน"นายวีรพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/59 บริษัทมีแผนจะขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TREIT) เพิ่มเติมอีก 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นพื้นที่ให้เช่าคลังสินค้า 1.1 แสนตารางเมตร (ตร.ม.)และโรงงาน 4 หมื่น ตร.ม.รวม 1.5 แสน ตร.ม. ซึ่งเป็นมูลค่าที่ต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากปีนี้บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนน้อยกว่าปีก่อน เพื่อลดภาระหนี้สิน
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนการลงทุน 5 ปี (58-62) ด้วยงบลงทุนรวม 5 หมื่นล้านบาทเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับอาเซียน โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเป็น 3 ล้าน ตร.ม.ภายในปี 62 จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.35 ล้าน ตร.ม.โดยในปีนี้ตั้งงบลงทุนราว 4,000 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่ลงทุน 6,900 ล้านบาท ซึ่งจะเสริมศักยภาพธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ แบ่งเป็นงบลงทุนขยายพื้นที่โรงงานของ TICON 500 ล้านบาท งบลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าของ บริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด (TPARK) 3,000 ล้านบาท ที่เหลือใช้สำหรับการลงทุนในอินโดนีเซีย 500 ล้านบาท
สำหรับเม็ดเงินลงทุนในปีนี้ 4,000 ล้านบาท จะมาจากการขายสินทรัพย์เข้ากอง RIET ราว 3,000 ล้านบาท รายได้ค่าเช่าราว 1,200 ล้านบาท เงินปันผลจากการลงทุนและค่าบริหารรวม 600 ล้านบาท/ปี โดยปีนี้ริษัทมีแผนจะเพิ่มพื้นที่ให้เช่า 2.8 แสน ตร.ม.น้อยกว่าปีก่อนที่ 3.5 แสนตร.ม.เนื่องจากมองภาพรวมเศรษฐกิจไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งพื้นที่เพิ่มขึ้นแบ่งเป็นในไทย 2.5 แสน ตร.ม.และอินโดนีเซีย 3 หมื่น ตร.ม.
"ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเราซื้อที่ดินเยอะขึ้น ปีนี้จะขายที่ดินบางส่วน เพราะลูกค้าหลายรายที่คุยอยู่อยากซื้อที่ดินเรา และจ้างเราก่อสร้างให้ ซึ่งปีก่อนมีรายได้จากขายที่ดิน 300 ล้านบาท ปีนี้คาด 1,000 ล้านบาท ปีนี้ไม่จำเป็นต้องซื้อที่ดินเพิ่ม เงินส่วนใหญ่ใช้เพื่อการก่อสร้าง"นายวีรพันธ์ กล่าว
นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมองเห็นแนวโน้มการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในเวียดนาม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร 2 รายทั้งเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ คาดว่าจะมีข้อสรุปภายในกลางปี 59 จากนั้นการลงทุนน่าจะเกิดขึ้นราวต้นปี 60 เบื้องต้นคงเป็นการสร้างโรงงานให้เช่า ซึ่งน่าจะเป็นการเข้าไปลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมที่มีอยู่มากกว่าซื้อที่ดินมาพัฒนาเอง
ถัดไปบริษัทคงมองโอกาสการลงทุนในเมียนมาร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพและค่าแรงยังถูก ซึ่งต่อจากนี้การลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านจะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งของบริษัท โดยตั้งเป้ารายได้จากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เพิ่มเป็น 40% ภายในปี 62 จากปัจจุบันราว 5% ซึ่งขณะนี้โครงการในอินโดนีเซียมีความคืบหน้าในการพัฒนาเฟส 2 ด้วยขนาดพื้นที่ 51,000 ตร.ม.คาดสร้างเสร็จในไตรมาส 3/59 เพื่อรองรับความต้องการเช่าพื้นที่โรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์และมอเตอร์ไซด์
"จากนี้ไปเราจะขยายการลงทุนไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น อินโดนีเซียไปแล้ว คงซื้อที่ดินเพิ่ม 2-3 แห่ง เพราะความต้องการโรงงานและคลังสินค้าให้เช่ามากกว่าไทยเยอะ ก็เป็นโอกาส และมองเวียดนามที่คุยอยู่ สัปดาห์หน้าจะบินไปเวียดนามเป็น joint venture คุยอยู่ 2 ราย อาจได้ 1 ราย ทั้งภาคเหนือและใต้ คงทำโรงงานให้เช่าก่อนโดยทำในนิคมฯ ปีแรกอาจ 3 หมื่น ตร.ม.คาดคุยจบกลางปี ลงทุนคงปลายปีหรือต้นปี 60 อาจถือหุ้น 25% หรือมากกว่า ตอนนี้กำลังเจรจาสัดสัดส่วนถือหุ้นอยู่"นายวีรพันธ์ กล่าว