อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทมีแผนขยายสาขาใหม่เพิ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 9-10 สาขา แบ่งเป็น สาขาโฮมโปร 5 สาขา ส่งผลทำให้สิ้นปีจะมีสาขาโฮมโปรทั้งสิ้น 80 สาขา และสาขาเมกาโฮม 3-4 สาขา เพื่อเพิ่มสาขาเป็น 10-11 สาขา และสาขาในมาเลเซีย เพิ่มอีก 1 สาขา รวมเป็น 2 สาขาภายในสิ้นปีนี้
นอกเหนือจากธุรกิจผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ก่อสร้างและเครื่องใช้ภายในบ้านแล้ว บริษัทฯได้ขยายธุรกิจไปยัง ธุรกิจการจำหน่ายจักรยานและอุปกรณ์แบบครบวงจร ซึ่งที่ผ่านมาได้เปิดตัว BIKE CLUB ในสาขาราชพฤกษ์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมอีกในปีนี้ที่พระราม 3 และน่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงครึ่งปีหลัง วางงบลงทุนหลัก 10 ล้านบาท และคาดว่าจะทำรายได้ 100-150 ล้านบาทในปีนี้
ขณะที่บริษัทคาดว่ายอดขายสาขาเดิมก็ปรับตัวดีขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายสาขาเดิม (SSSG) ปีนี้จะเติบโตราว 4% จากปีก่อนที่ติดลบ 1.4% เนื่องจากเศรษฐกิจในปีนี้จะฟื้นตัวดีขึ้นจากปีก่อน เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับมองว่าราคาพืชผลทางการเกษตรก็น่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะต่างจังหวัดที่บริษัทมีสัดส่วนยอดขายกว่า 60%
บริษัทตั้งงบลงทุนรวมในปีนี้ 7,000-7,500 ล้านบาท เพื่อใช้ในเรื่องของการขยายสาขาต่าง ๆ และขยายพื้นที่คลังสินค้าที่ อ.วังน้อย จ.อยุธยา จากปัจจุบันมีพื้นที่ราว 1.3 แสนตารางเมตร และมีการใช้พื้นที่ไปแล้ว 80% ทำให้ต้องมีการขยายพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯมีพื้นที่ว่างอยู่จำนวน 80-90 ไร่ คาดว่าจะใช้งบลงทุน 700-1,000 ล้านบาท แหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสด 60% และอีก 40% มาจากเงินกู้ หรือออกหุ้นกู้
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนออกหุ้นกู้มูลค่า 4,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน ซึ่งอายุหุ้นกู้และดอกเบี้ยจะต้องประเมินอีกครั้ง โดยคาดจะเสนอขายได้ในช่วงไตรมาส 3/59
นางสาวรรณี ยังย้ำเป้าหมายในปีนี้ว่า บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 5.62 หมื่นล้านบาท และมั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าปีก่อนที่ทำได้ 3.49 พันล้านบาท รวมถึงจะรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 6.22% ซึ่งบริษัทฯจะมีการลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร