TU ตั้งเป้าปี 59 ยอดขาย 4.5-5 พันล้านเหรียญ วางงบลงทุน 3.5 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 2, 2016 15:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวาย ยัท ปาโก้ ลี รองผู้จัดการทั่วไป ด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 59 ที่ระดับ 4.5-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะเพิ่มเป็นระดับ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 63 โดยจะเติบโตจากธุรกิจภายใน (Organic growth) และการเข้าซื้อกิจการและร่วมลงทุน (M&A) โดยในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่จะขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆเพิ่มเติม ขณะที่ก็มีความสนใจในประเทศตลาดเกิดใหม่ อย่างอาเซียน ,ตะวันออกกลาง เป็นต้น รวมถึงตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เช่น จีน จากปัจจุบันตลาดสหรัฐฯยังคงเป็นตลาดหลักอยู่ มีสัดส่วนยอดขายที่ 42% รองลงมาเป็นยุโรป ราว 29% ไทย 8% ญุ่ปุ่น 6% และอื่นๆ 14%

ขณะที่บริษัทยังคงมองหาโอกาสการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง และจะต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเลที่มีแบรนด์สินค้าติดตลาดแล้ว และตรงกับธุรกิจปัจจุบันของบริษัท หรือเป็นกิจการที่เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ เพื่อต่อยอดฐานการผลิต และฐานลูกค้า โดยมีความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสลงทุนในสหรัฐฯและยุโรป เนื่องด้วยมีการซื้อขายกิจการอย่างมากในประเทศนั้นๆ แต่ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นประเทศไหน ซึ่งมองเป็นการเข้าซื้อกิจการทั่วโลก

"เงินลงทุน M&A ไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้ แต่จะเป็นการพิจารณาตามขนาดธุรกิจที่เข้าซื้อ แต่ถามตอนนี้สิ่งที่เราอยากจะขยายก็คือตลาด ด้านการผลิตเราถือว่ายังสามารถผลิตได้สบายมาก ถ้าขยายตลาดส่วนมากเราคิดถึงแบรนด์ก่อน จึงมองโอกาสซื้อแบรนด์ที่มีตลาดอยู่แล้ว และเป็นตลาดที่เราอยากจะเข้าไป ขณะที่บางสินค้าแบรนด์ไม่ได้เป็นปัจจัยหลัก แต่ผู้จำหน่ายเป็นปัจจัย เราจะเน้นผู้นำเข้ารายใหญ่เป็นอันดับต้นๆ"นายวาย ยัท ปาโก้ ลี กล่าว

นายวาย ยัท ปาโก้ ลี กล่าวว่า บริษัทยังเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ๆ หลายโครงการเพื่อใช้นวัตกรรมในการผลิตสินค้าใหม่ และเน้นขายสินค้าให้กับกลุ่มลูกค้าบริการ (Service) เช่น ภัตตาคาร ,ร้านอาหาร คาดว่าจะเริ่มในร้านอาหารที่สหรัฐฯก่อน ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) เพิ่มมาอยู่ที่ 16% จากปีก่อนอยู่ที่ 15.6% และคาดว่าในปี 63 จะเพิ่มเป็น 20%

สำหรับในปี 59 คาดว่าจะเติบโต 15-20% จากปีก่อนทำได้ 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมาจากการเติบโตของธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ 8-9% และธุรกิจที่ได้เข้าซื้อกิจการไปแล้วช่วงที่ผ่าน คือ การถือหุ้น 51% ในบริษัท รูเก้นฟิช เอจี ในประเทศเยอรมนี คาดว่าจะสร้างรายได้ต่อปีราว 140 ล้านยูโร หรือคิดเป็น 6 พันล้านบาท

พร้อมกันนี้ประเมินภาวะเศรษฐกิจโลกแม้ว่ายังคงชะลอตัว แต่บริษัทก็ไม่ได้มีความกังวล เนื่องจากอาหารยังเป็นปัจจัยสำคัญของผู้บริโภคทั่วโลก และบริษัทก็ยังสามารถทำกำไรให้เติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับยังมีการขยายตลาดเพิ่มเติมอีก โดยคาดการณ์ผลผลิตกุ้งในปีนี้จะอยู่ที่ 3 แสนตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 2.1 แสนตัน เนื่องจากการแก้ปัญหาโรคกุ้งตายด่วนเริ่มดีขึ้น และราคาปลาทูน่าก็เริ่มปรับราคาขึ้น ปัจจุบันราคาปลาทูน่าอยู่ที่ 1,170 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเดือนม.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน

ส่วนงบลงทุนปีนี้วางไว้ราว 3.5 พันล้านบาท เพื่อใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทซึ่งมีเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ราว 1.17 หมื่นล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ