โดยสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมามีการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นขนาดใหญ่อื่นๆ เนื่องจากมีกระแสเงินทุนไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในหุ้นขนาดใหญ่ หลังจากปีที่แล้วมีการปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากประกอบกับราคาน้ำมันที่มีการฟื้นตัวขึ้นกว่า 30% ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้หุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานมีการปรับตัวที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงในประเทศยังมีแนวโน้มการฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด
ขณะที่บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 4 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2558 - 29 กุมภาพันธ์ 2559 รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 550.54 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยกองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล (K20SLTF) โดยจะจ่ายปันผลในอัตรา 0.27 บาทต่อหน่วย, กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ในอัตรา 0.16 บาทต่อหน่วย, กองทุนเปิดเค 70:30 หุ้นระยะยาวปันผล (K70LTF) ในอัตรา 0.15 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดเค โกรทหุ้นระยะยาวปันผล (KGLTF) ในอัตรา 0.10 บาทต่อหน่วย โดยทั้ง 4 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 มีนาคม 2559 นี้
ในปี 58 ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) มีผลการดำเนินงานติดลบถึง 14% โดยกองทุนหุ้นไทยส่วนใหญ่ต่างมีผลการดำเนินงานติดลบ ตามทิศทางภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด รวมถึงความกังวลในตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ก่อให้เกิดความผันผวนและแรงเทขายอย่างหนักในตลาดการเงินทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จากกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการคัดเลือกหลักทรัพย์เป็นรายตัว (Stock Selection) และการบริหารการลงทุนอย่างระมัดระวังตามภาวะตลาด ทำให้กองทุน LTF ของบลจ.กสิกรไทยปรับตัวลงน้อยกว่าตลาด ซึ่งจากผลการดำเนินงานในรอบบัญชีที่ผ่านมา (1 ก.ย. 58 – 29 ก.พ. 59) กองทุนยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้จากเงินปันผลที่ได้รับจากหุ้นที่กองทุนถืออยู่ ทั้งนี้ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา สามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยที่ 2.02% - 3.22% ต่อปี (ที่มา Bloomberg: ณ วันที่ 3 มี.ค.59)
สำหรับมุมมองสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปี 58 ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวดีต่อเนื่องและมีการใช้จ่ายจากภาครัฐเข้ามาช่วยชดเชยกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแรงลง รวมถึงยังมีเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลที่เริ่มเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในช่วงไตรมาส 4/2558 จนถึงต้นปี 2559
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2559 จะปรับตัวดีขึ้น โดยคาดการณ์อัตราการขยายตัวอยู่ระหว่าง 2.5%-3.5% หรือเฉลี่ยที่ 3.0% ปรับตัวดีขึ้นจากปี 2558 ซึ่งขยายตัวเฉลี่ยที่ 2.8% โดยจะได้รับแรงสนับสนุนมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะการผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน การจ้างงาน รวมทั้งช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นของภาคการบริโภคภายในประเทศให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง หนี้เสียในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ยังคงเพิ่มขึ้นถึงแม้คาดว่าจะอยู่ในอัตราเร่งที่ลดลง ตัวเลขการส่งออกที่ชะลอลง นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ประกอบกับคาดการณ์การอ่อนค่าต่อเนื่องของเงินหยวน อาจส่งผลให้เกิดความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค รวมถึงเศรษฐกิจไทย