โบรกฯเตือนระวัง JAS หลากมุมมองเล็งเกี่ยวโยงขายหุ้นพันธมิตร/จะทิ้ง 4G/ซื้อหุ้นคืนแบบ GO มีความเสี่ยง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 8, 2016 09:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า หลังมีข่าว JAS เตรียมซื้อหุ้นคืนคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 6,000 ล้านบาท ในการซื้อหุ้นคืนประมาณ 1,426,706,130 หุ้น หรือคิดเป็น 20% ของทุนเรียกชำระแล้ว ส่วนราคาหุ้นที่จะซื้อยังไม่แน่นอน รอการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทในเดือนเม.ย. นี้ก่อน

ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ตีความว่า JAS อาจจะไม่สามารถที่วางแบงก์การันตีได้ทันตามกำหนด และการซื้อหุ้นคืนจำนวนเงินข้างต้นเมื่อหักเงินสดในมือจากการซื้อหุ้นคืน อาจทำให้มีเงินสดไม่พอสำหรับการจ่ายเงินงวดแรกของใบอนุญาต 4G คลื่น 900 MHz ในขณะที่ความชัดเจนในเรื่องการจ่ายเงินและวางหลักประกันหรือแบงก์การันตียังไม่แน่นอน

แต่ในมุมมองของเราคาดว่า การซื้อหุ้นคืนของ JAS น่าจะมีความเกี่ยวโยงกับการขายหุ้นจำนวนหนึ่งให้กับพันธมิตรที่จะเข้าร่วมถือหุ้น JAS โดยอาจจะซื้อหุ้นคืนและขายให้พันธมิตรในราคาที่มีส่วนลด ส่วนกรณีการติดต่อขอสินเชื่อคาดว่า JAS ยังดำเนินการอยู่ แต่อาจขอให้ธนาคารเก็บไว้เป็นความลับจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องพันธมิตรหรือการประกาศเพิ่มทุน

อย่างไรก็ตามวานนี้มีแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้น ADVANC, DTAC และ TRUE เข้ามาอย่างหนาแน่น เนื่องจากใกล้ถึงเวลาสำหรับการจ่ายเงินประมูล 4G แล้ว

ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ขอเตือนนักลงทุนที่จะเข้าซื้อหุ้น JAS เพื่อเก็งกำไรว่าซื้อหุ้นแล้วจะไปขายหุ้นคืนที่ราคาหุ้นสูง จะต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น พร้อมตีประเด็นในเรื่องการซื้อหุ้นของ JAS 2 เรื่องคือ 1) การที่ JAS ยังจะใช้เงินซื้อหุ้นคืน ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในช่วงการหาเงินมาจ่ายค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz ถึง 7.56 หมื่นล้านบาท แสดงว่าจะละทิ้งคลื่นนี้แล้ว ทำให้มีการเก็งกำไร JAS ที่จะไปโฟกัสธุรกิจเดิมที่มีกำไรคือ Internet ความเร็วสูง และทำให้ผู้เล่นรายอื่นๆปรับตัวขึ้นดีคือ ADVANC, DTAC และ TRUE เพราะไม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากรายที่ 4 ที่เข้ามาใหม่

และ 2) บริษัทแจ้งว่าจะซื้อหุ้นคืนเป็นการทั่วไป (General Offer: GO) ไม่ได้ซื้อในกระดาน ที่ราคาประมาณ 5.00 บาท ทำให้นักลงทุนมีการซื้อหุ้น JAS เพื่อจะไปขายให้บริษัทที่ราคาสูง หากพิจารณาในประเด็นที่สองจะมีความเสี่ยงมากขึ้น คือ

1) บริษัทยังไม่ชี้ชัดว่าจะใช้ราคาใด จากราคาเฉลี่ยแบบที่ 1 หรือ 2 ซึ่งมีราคาแตกต่างกันมาก หากใช้แบบที่ 1 ก็มีราคาต่ำกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน 20% หากใช้แบบที่สองดูเหมือนจะได้ราคาดีคือ สูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบันอีก 35% แต่ก็จะสามารถนำไปเสนอขายได้แค่บางส่วน (Partial) คือ ทางบริษัทจะรับซื้อในสัดส่วนเพียง 16.82-20% จากจำนวนหุ้นที่ไปเสนอขาย หากเป็นกรณีมีจำนวนหุ้นนำไปขายสูงกว่าที่บริษัทรับซื้อ ดังนั้นส่วนเพิ่มที่ได้รับจะลดลงตามสัดส่วนที่รับซื้อเป็น 5.9%-7% เท่านั้น ขณะที่มีความเสี่ยงในข้อถัดไป

JAS แจ้งว่า จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน ประมาณ 1,200-1,426 ล้านหุ้น คิดเป็นประมาณร้อยละ 16.82-20 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป ในราคาประมาณ 5.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาดังกล่าวยังไม่แน่นอน ทั้งนี้ราคาที่แน่นอนจะกำหนดได้ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งถัดไป หลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาหุ้นที่จะซื้อคืน 1) ราคาหุ้นสามัญของบริษัท เฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันก่อนวันประชุมคณะกรรมการบริษัท ในวันที่ 7 มี.ค. 59 เท่ากับ 2.96 บาทต่อหุ้น 2) ราคาที่เสนอซื้อคืนนั้นประมาณ 5.00 บาทต่อหุ้น โดยอ้างอิงจากราคาเฉลี่ยย้อนหลังระหว่างวันที่ 6 มี.ค. 58 ถึงวันที่ 4 มี.ค. 59 ซึ่งอยู่ที่ 5.01 บาทต่อหุ้น (ก่อนวันประชุมคณะกรรมการบริษัทฯเพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการ) ทั้งนี้ คณะกรรมการอนุมัติโครงการซื้อคืนใช้วงเงินประมาณ 6 พันล้านบาท

2) ไม่ค่อยได้เห็นนักที่บริษัทจะใช้ราคารับซื้อหุ้นคืนที่ย้อนหลังไปถึง 1 ปี ในกรณีปกติมักจะใช้ราคาเฉลี่ยย้อนหลัง เช่น 30 วัน ขณะที่การซื้อหุ้นคือแบบทั่วไปอาจไม่ได้กำหนดเกณฑ์ที่แน่ชัดเกี่ยวกับราคาที่รับซื้อคืน แต่หากตลาดฯกำหนดว่าให้บริษัทย้อนหลังได้เพียงเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ราคารับซื้อคืนจะเป็นเพียง 2.96 บาทเท่านั้น

3) ตามเกณฑ์ “คู่มือการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน" ของตลาดหลักทรัพย์ฯ มิ.ย.54 ได้ระบุว่าบริษัทต้องมีคุณสมบัติประการหนึ่งว่า มีกำไรสะสม โดยการซื้อหุ้นคืนจะทำได้ไม่เกินวงเงินสะสมในงบการเงินเฉพาะกิจการ ซึ่งในงวดสิ้นปี 58 ซึ่งเป็นเพียง 2.3 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทจะใช้วงเงินประมาณ 6 พันล้านบาทในการซื้อหุ้นคืน ก็จะไม่เพียงพอ อีกทั้งบริษัทได้ประกาศปันผลล่าสุดที่ 0.30 บาทต่อหุ้นหรือ 2.14 พันล้านบาท XD 25 ก.พ.59 ไปแล้ว แต่ยังไม่กำหนดวันจ่ายปันผล หากหักส่วนนี้ไป กำไรสะสมก็จะยิ่งลดลง เราจึงมีข้อสงสัยว่าบริษัทจะยังสามารถทำการซื้อหุ้นคืนได้อีกหรือไม่

4) มีเกณฑ์อีกหนึ่งข้อคือ การซื้อหุ้นคืนต้องไม่มีลักษณะเป็นการผลักดันราคา หรือทำให้การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดฯ เปลี่ยนแปลงผิดไปจากสภาพปกติของตลาดฯ แต่การที่บริษัทประกาศราคาซื้อหุ้นคืนที่ประมาณ 5 บาทนั้น ทำให้ราคาหุ้นวานนี้มีการเคลื่อนไหวแกว่งตัวอย่างผิดปกติมาก เราจึงยังมีความสงสัยว่าตลาดฯจะมีการตีความว่าเป็นการผลักดันราคาได้หรือไม่ หากได้ก็จะทำให้การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ล้มเลิกไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ