(เพิ่มเติม) EGCO ตั้งงบปีนี้กว่า 2.2 หมื่นลบ.ขยายงานทั้งใน-ตปท.,กำไรดำเนินงานโต 5%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 8, 2016 15:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ได้เตรียมงบลงทุนกว่า 2.2 หมื่นล้านบาทในปีนี้สำหรับ 8 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ตั้งเป้ากำไรจากการดำเนินงานปีนี้จะเติบโต 5% จากปีก่อน หลังโรงไฟฟ้าขนอม หน่วยที่ 4 จะแล้วเสร็จในกลางปีนี้ และโครงการโรงไฟฟ้าชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม จะแล้วเสร็จในปลายปี พร้อมทั้งมองหาโอกาสการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมทั้งในเมียนมาร์ ลาว เวียดนาม และอินโดนีเซีย รวมถึงการขยายลงทุนในธุรกิจต้นน้ำอย่างการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ส่วนธุรกิจถ่านหินยังคงเดินหน้าหวังโอกาสเติบโตในอนาคต แม้ช่วงนี้จะเผชิญกับภาวะราคาถ่านหินตกต่ำก็ตาม

นายชนินทร์ เชาวน์นิรัติศัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานในปีนี้จะเติบโต 5% จากระดับ 7.9 พันล้านบาทในปีก่อน หลังโรงไฟฟ้าใหม่จะเดินเครื่องผลิตตามแผน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าขนอม หน่วยที่ 4 มีปริมาณสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 930 เมกะวัตต์ (MW) คาดว่าจะเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ได้เร็วกว่าแผนในวันที่ 19 มิ.ย.59 ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานลม ชัยภูมิ วินฟาร์ม ซึ่งถือหุ้นอยู่ 90% จะ COD ในเดือนธ.ค.59 โดยมีปริมาณขายไฟฟ้า 90 MW

นอกจากนี้จะรับรู้รายได้และกำไรจากโรงไฟฟ้าเคซอน ในฟิลิปปินส์ เพิ่มเติมหลังปีที่แล้วได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัท เคซอน เพาเวอร์ (ฟิลิปปินส์) (QPL) เป็น 100% จากเดิม 98% ในปีที่ผ่านมา

ขณะที่บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ที่กว่า 2.2 หมื่นล้านบาท สำหรับ 8 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการทั้งในและต่างประเทศ รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนร่วมทุน 1,770 MW แบ่งเป็นในประเทศมี 5 โครงการ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าขนอม หน่วยที่ 4 จ.นครศรีธรรมราช โครงการโรงไฟฟ้า ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม จ.ชัยภูมิ และโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) 3 โครงการ รวมปริมาณพลังงานไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนร่วมทุน 1,338 MW

โครงการต่างประเทศที่อยู่ระหว่างดำเนินการ มี 3 โครงการ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 7 พันล้านบาท ได้แก่ โรงไฟฟ้าไซยะบุรี ในลาว โครงการไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา ในฟิลิปปินส์ และล่าสุดโครงการโรงไฟฟ้ามาซินลอค หน่วยที่ 3 ในฟิลิปปินส์ รวมปริมาณพลังงานไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการร่วมทุน 431.68 MW

นอกจากนี้ บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนอีก 5 โครงการ ทั้งภายในประเทศและกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ ลาว เมียนมาร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้บริษัทในอนาคต ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากเบ่ง ในลาว ขนาดกว่า 1,000 MW เงินลงทุนราว 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทจะถือหุ้นราว 30% ร่วมกับบริษัทในจีนและรัฐบาลลาว ซึ่งโครงการจะขายไฟฟ้าให้กับกลับมาไทยราว 912 MW และขายไฟฟ้าให้ลาว 100 MW ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลลาว และจะเสนอต่อคณะกรรมาธิการลุ่มแม่น้ำโขง พิจารณาต่อไป ขณะที่ฝ่ายไทยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ซึ่งเป็นผู้ซื้อก็กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาด้วยเช่นกัน

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำเทิน 1 ในลาว ขนาด 650 MW เงินลงทุนราว 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทจะถือหุ้น 25% โครงการจะขายไฟฟ้ากลับมาไทยราว 520 MW และขายไฟฟ้าให้ลาว 130 MW คาดว่าโครงการจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับกฟผ.ไม่เกินเดือนมิ.ย. และจัดหาแหล่งเงินกู้แล้วเสร็จในเดือนก.ย. ขณะที่คาดว่าโครงการจะเริ่ม่จ่ายไฟฟ้าได้ในปี 65

โครงการโรงไฟฟ้า ในนิคมอุตสาหกรรมทวาย ที่เมียนมาร์ ที่ร่วมทุนกับบมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ฝ่ายละ 50% นั้น มีกำลังการผลิต 450 MW ใช้เงินลงทุนราว 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 61 ปัจจุบันสถานะโครงการอยู่ระหว่างการเตรียมการโครงการ

โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกวางจิ ในเวียดนาม ขนาด 1,200 MW บริษัทจะถือหุ้น 30% ร่วมกับบริษัท กฟผ.อินเตอร์เนอร์ชั่นแนล จำกัด ถือหุ้น 70% ซึ่งความก้าวหน้าของโครงการอยู่ในขั้นตอนการเสนอผลการศึกษาพัฒนาโครงการในเวียดนาม คาดว่าจะนำเสนอผลในช่วงปลายเดือนมี.ค.-เม.ย. หากได้รับการอนุมัติก็จะนำโครงการมาเสนอขายไฟฟ้ากับรัฐบาลไทยต่อไป

โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพ"สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่"ส่วนขยาย อีก 60 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นยูนิตที่ 3 ในอินโดนีเซีย โดยโครงการนี้บริษัทถือหุ้น 20% กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาราคาซื้อขายไฟฟ้าที่เหมาะสมกับรัฐบาลอินโดนีเซีย หากการเจรจาแล้วเสร็จในปีนี้ ก็คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปีและโครงการจะแล้วเสร็จในปี 62

นายชนินทร์ กล่าวว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของโครงการผลิตไฟฟ้า และธุรกิจต้นน้ำประเภทเชื้อเพลิง จากปัจจุบันที่มีการลงทุนราว 40% ในเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย ซึ่งยังยืนยันที่จะเดินหน้าโครงการต่อไปแม้ราคาถ่านหินจะตกต่ำในช่วงนี้ แต่บริษัทดังกล่าวยังคงสามารถทำกำไรได้ อีกทั้งมองว่าในอนาคตมีโอกาสจะขายถ่านหินออกไปให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศไทย

สำหรับธุรกิจต้นน้ำอื่นที่ให้ความสนใจ จะเป็นการนำเข้า LNG ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากนโยบายของภาครัฐ จากปัจจุบันที่มีบมจ.ปตท. (PTT) เป็นผู้นำเข้าเพียงรายเดียว เนื่องจากบริษัทมีศักยภาพ โดยเฉพาะพื้นที่ตั้งในบริเวณโรงไฟฟ้าระยอง ที่ยังคงมีพื้นที่ว่างราว 200 ไร่ หลังจากที่โรงไฟฟ้าดังกล่าวหมดสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟผ.แล้วตั้งแต่เดือนธ.ค.57

ในด้านของธุรกิจไฟฟ้าบริษัทยังมองโอกาสการเข้าถือหุ้นเพิ่มในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินมาซินลอค โดยจะเป็นการเจรจาซื้อจากกองทุนต่างประเทศอีก 8% จากปัจจุบันถืออยู่ 40.95% และการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งรวมถึงพลังน้ำด้วย โดยวางเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตในส่วนของพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเป็น 20% ในปี 68 จากราว 14-15% ในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดให้ความสนใจจะเข้ายื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าในโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประเภทชีวมวลในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่รัฐบาลกำลังจะเปิดรับซื้อด้วย

"เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าสร้างความเติบโตให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่องตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ เพื่อรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อย่างน้อย 10% โดยปีนี้คาดการณ์ผลการดำเนินงานจะเติบโตขึ้นอีก"นายชนินทร์ กล่าว

นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ตามแผนการขยายการลงทุนดังกล่าวทำให้บริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนกำไรจากการลงทุนในต่างประเทศเป็น 50% ในปี 63 จาก 37% ในปีที่ผ่านมา และกำไรจากธุรกิจในประเทศลดลงเหลือ 50% จาก 63% ในปีที่ผ่านมา หลังสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในประเทศก็จะทยอยหมดลง และการเปิดรับซื้อไฟฟ้าในโครงการใหม่ขนาดใหญ่ในประเทศยังไม่เกิดขึ้นมากนัก


แท็ก ผลิตไฟฟ้า   (EGCO)  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ