อย่างไรก็ตาม บริษัทฯจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 34% และอัตรากำไรสุทธิที่ 20% เช่นเดียวกับปีก่อน ด้วยการเน้นในการรักษาฐานลูกค้าเดิม และเน้นการให้บริการในฐานลูกค้าที่เป็นปิโตรเคมีมากขึ้น พร้อมทั้งควบคุมต้นทุนการให้บริการ โดยเฉพาะในเรื่องของบุคคลากรที่จะรับพนักงานที่จำเป็นเท่านั้น และฝึกฝนพนักงานที่มีอยู่ให้สามารถทำงานได้หลากหลายมากขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 320 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 280 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลงานเพิ่มเติม เช่น งานท่อลำเลียงน้ำมัน (Pipeline) แก่งคอย-นครราชสีมา ,งาน Modules&Fire Heaters 30 Units และบริษัทฯก็ยังมีสัญญางานตรวจสอบด้านวิศวกรรมในอีกหลายโครงการ อย่างการบริการตรวจสอบเพื่อเตรียมความพร้อมใช้งานของกลุ่มโรงกลั่น ปิโตรเคมี โดยในช่วงเดือนมี.ค.นี้กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวมีการหยุดการผลิตเพื่อซ่อมบำรุงจำนวนมาก
นอกจากนั้น ในส่วนของโครงการก่อสร้างก็ได้เตรียมเข้าประมูลงาน Spherical Tanks 2 units และ Doudle Wall LNG Tanks 2 units เป็นต้น
นายสรรพัชญ์ กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยสนใจออกไปลงทุนในกลุ่ม CLMV และอินโดนีเซีย ซึ่งตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศใน 2-3 ปีจากนี้จะเพิ่มเป็น 5% จากปัจจุบันอยู่ในระดับไม่ถึง 1%
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถจัดตั้งบริษัท ควอลลิเทค ในเมียนมาร์ได้ภายในปีนี้ และอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะจับมือกับพันธมิตรท้องถิ่น หรือจะลงทุนก่อตั้งบริษัทเอง โดยจะต้องรอการพิจารณาเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีก่อน ซึ่งการจัดตั้งบริษัทดังกล่าวเพื่อรองรับงานและความคล่องตัวของการทำธุรกิจ ใช้ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองการขยายธุรกิจไปยังเวียดนามด้วย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้เช่นกัน โดยการลงทุนดังกล่าวบริษัทมีนโยบายถือหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่า 50%
"ปีนี้น่าจะเห็นความชัดเจนของการจัดตั้งบริษัทในพม่า และการขยายตลาดไปยังเวียดนามที่จะเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศเป็นการรองรับงาน และความคล่องตัวของการดำเนินธุรกิจ คาดหวังสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 2-3 ปีจากนี้จะเติบโตเป็น 5%"นายสรรพัชญ์ กล่าว