ขณะที่แนวโน้มของปริมาณงานที่จะเริ่มทยอยออกมามากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะงานโครงการของภาครัฐที่อาจจะเห็นความชัดเจนของการเปิดประมูล และโครงการก่อสร้างต่างๆของภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่มีแผนการเปิดโครงการในช่วงครึ่งปีหลังอย่างมาก ส่งผลให้แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกอาจจะไม่ค่อยดีนัก ก่อนจะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้
ส่วนรายได้ในไตรมาส 1/59 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 4/58 ที่มีรายได้ 267 ล้านบาท โดยจะรับรายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) ราว 258.8 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิคาดว่ามีโอกาสสูงกว่า 48 ล้านบาทในไตรมาส 4/58 เนื่องจากบริษัทอาจจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากค่า K จำนวน 7-8 ล้านบาท ของโครงการรับเหมาก่อสร้างให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มูลค่างาน 130 ล้านบาทซึ่งส่งผลต่อกำไรในไตรมาส 1/59 สูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/58
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/59 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/58 นั้นคาดว่าจะต่ำกว่า เนื่องจากปริมาณงานมีน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งงานที่บริษัทรับมานั้นมีราคาที่ไม่สูงมากและให้มาร์จิ้นไม่สูง เนื่องจากตลาดมีภาวะการแข่งขันที่สูง ส่งผลให้บริษัทต้องยอมลดราคาในบางงานให้กับลูดค้า เพื่อสามารถรักษาฐานลูกค้า
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างในปีนี้ประเมินว่าในครึ่งปีแรกจะยังอยู่ในภาวะซึมตัว เนื่องจากไม่มีงานใหม่ออกมา คาดว่าผู้รับเหมาทั้งตลาดจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันทั้งหมด แต่แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นและคึกคัก จากงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีความเป็นไปได้สูงในการเปิดการประมูล
อย่างเช่น โครงการขยายท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิเฟส 2 ซึ่งบริษัทประเมินว่าทางบมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) จะเปิดประมูลและสรุปผู้ที่ได้รับงานได้ในไตรมาส 3/59 ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ในปลายปีนี้ ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ในเดือน ก.พ.60
“เรื่องของงานภาครัฐก็มองโอกาสจะออกมามากในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นโครงการใหญ่ๆที่ออกมา เราก็มองว่าสำหรับโปรเจ็คใหญ่ๆของรัฐนั้น เราสามารถรับได้ 10% แต่เป้าหมายสูงสุดเรารับได้อย่างน้อย 20% ซึ่ง 20% ก็จะเกินกำลังการผลิตเราไป แต่ถ้างานภาครัฐเข้ามาเราก็เตรียมเงินสดที่เรามีอยู่ไว้ที่ 600 ล้านบาท สำหรับการซื้อเครื่องจักรใหม่"นายชเนศวร์ กล่าว
นายชเนศวร์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทได้ยื่นประมูลงานไปแล้วมูลค่าราว 1 พันล้านบาท ซึ่งไม่รวมงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยคาดหวังได้งานไม่ต่ำกว่า 25-30% ของมูลค่างานที่ยื่นประมูล
"ในปี 59 การขับเคลื่อนส่วนใหญ่ก็มาจากงานโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ แต่ทั้งนี้จะเห็นผลจริง ในช่วงครึ่งหลังปี 59 และต่อเนื่องไปยังปี 60 เลย ซึ่งในช่วงครึ่งแรกปี 59 อาจจะยังต้องเหนื่อย เพราะโครงการภาครัฐออกมาล่าช้า ซึ่งหากมีการลงทุนมากขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อบริษัท แต่เป้าระยะไกล 3-5 ปี หลังงานเมกะโปรเจ็คต์ที่ออกมาต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโต 15-20% ต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานเอกชน 80% และภาครัฐ 20%"นายชเนศวร์ กล่าว