(เพิ่มเติม) "ทีพีบีไอ"เคาะราคา IPO ที่ 10.80 บ.เปิดจอง 16-18 มี.ค.เทรด 24 มี.ค.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 10, 2016 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. ทีพีบีไอ (TPBI) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 100 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 10.80 บาท และเปิดเสนอขายในช่วงวันที่ 16-18 มี.ค. และคาดว่าจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 24 มี.ค.นี้

ในวันนี้ TPBI ได้จัดพิธีลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ รวมทั้งยังแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม 2 ราย ประกอบด้วย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) และ บล. ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด และแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 3 ราย ได้แก่ บล.เคที ซีมิโก้ บล.โนมูระ พัฒนสิน และ บล.เอเซีย พลัส

นายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ หัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บล.ทิสโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากที่ บล. ทิสโก้ ได้ทำการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 9 มี.ค.59 ที่ผ่านมา โดยมีราคาเสนอขายที่ 10.50-10.80 บาทต่อหุ้น พบว่านักลงทุนสถาบันได้แสดงความต้องการซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 10.80 บาท โดยมีความต้องการรวมคิดเป็น 32 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรรให้แก่นักลงทุนสถาบัน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ บมจ. ทีพีบีไอ ที่นักลงทุนให้ความเชื่อมั่น ดังนั้น จึงกำหนดราคาหุ้น IPO ที่หุ้นละ 10.80 บาท

TPBI เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 100 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ทั้งนี้ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัทจะมีทุนที่ออกจำหน่ายและเรียกชำระแล้วทั้งหมด 400 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หรือคิดเป็น 400 ล้านหุ้น โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายกำลังการผลิต เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ และใช้เป็นเงินทุนสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต เพื่อพัฒนาศักยภาพในการประกอบธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร (Total Solution Provider)

นายกมล บริสุทธนะกุล กรรมการและ ประธานเจ้าหน้าที่ฝายการเงิน TPBI กล่าวว่า บริษัทคาดรายได้และกำไรในปีนี้จะมากกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 4.8 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 380 ล้านบาท ขณะที่ตั้งเป้ารายได้ในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตเท่าตัวจากปี 58 โดยคาดว่าการเติบโตรายได้มาจากในประเทศ 35% และส่งออก 65% โดยตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐ ออสเตรเลีย ยุโรปและญี่ปุ่น รวมตลาดอื่นในอาเซียนและแอฟริกา

นอกจากนี้ บริษัทยังมีความสนใจเข้าลงทุนก่อสร้างโรงงานในกลุ่มประเทศ แต่อยู่ระหว่างรอดูโอกาส เชื่อว่าใน 2-3 ปีน่าจะเห็นความชัดเจนในการลงทุน พร้อมกันนี้บริษัทมีแผนเข้าซื้อกิจการที่คาดว่าจะสรุปได้ 1 ดีล ซึ่งเป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในต่างประเทศ โดยสัดส่วนรายได้ปัจจุบันมาจากบรรจุภัณฑ์พลาสติก 60-70% ส่วนอีก 20% มาจากบรรจุภัณฑ์มูลค่าสูง ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ เช่น กระดาษ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น

ปัจจุบัน บริษัทเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกครบวงจรรายใหญ่ในประเทศไทย มีกำลังการผลิตทั้งสิ้น 64,920 ตันต่อปี จากฐานการผลิต 2 แห่ง ได้แก่ ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นโรงงานผลิตถุงพลาสติกหูหิ้ว ถุงขยะ และฟิล์มที่มีลักษณะงานมีรายละเอียดสูงและมีปริมาณงานไม่มากนัก มีกำลังการผลิตต่อปี 12,840 ตัน และโรงงานที่จังหวัดระยองเน้นรับงานผลิตสินค้าจำนวนมาก (Mass Production) เพื่อส่งให้กับลูกค้ารายใหญ่ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศอียู ญี่ปุ่น ออสเตรเลียและไทย โดยมีกำลังการผลิต 52,080 ตันต่อปี

บริษัทยังมีโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม กำลังการผลิตประมาณ 96 ล้านเมตรพิมพ์ต่อปี หรือประมาณ 192 ล้านซองต่อปีอีกด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ