“ผู้บริโภคในปัจจุบันชอบผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ไม่ซ้ำซากจำเจ และให้ความสำคัญกับการเลือกสรรสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและการดำรงชีวิตของตนเองและครอบครัว และตอบโจทย์ความสะดวกรวดเร็ว แนวโน้มการผลิตอาหารสำเร็จรูปในอนาคตผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาพัฒนาไส้กรอกที่ตอบสนองคนห่วงใยสุขภาพมากขึ้น โดยซีพีเอฟเน้นใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อปลาแพนกาเซียสดอรี่จาก ซีพี เวียดนาม หรือเพิ่มส่วนผสม หรือวัตถุดิบอื่นๆ เพื่อผลิตไส้กรอกที่เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ช่วยให้ผู้บริโภคห่างไกลโรคมากขึ้น รวมทั้ง มีแนวทางพัฒนาเมนูอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานที่มีไส้กรอกเป็นส่วนประกอบแบบ Light meal เพื่อให้ผู้บริโภคได้อิ่มอร่อยกับเมนูไส้กรอกได้หลายรูปแบบมากขึ้น"นายสุขวัฒน์ กล่าว
ปัจจุบัน ซีพีเอฟมีกำลังการผลิตไส้กรอกในปัจจุบันรวม 100,000 ตันต่อปี และจะเพิ่มขึ้นประมาณ 130,000 ตันต่อปี หลังจากโรงงานผลิตไส้กรอก “ฮาลาล" ที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เริ่มการผลิตในช่วงกลางปี 2559 ซึ่งนอกจากรองรับตลาดสินค้า “ฮาลาล" ในประเทศ แล้ว ยังสามารถตอบสนองผู้บริโภคในตลาดกลุ่มประเทศในประชาคมอาเซียนซึ่งมีจำนวนผู้บริโภคเป็นชาวมุสลิมสูงถึง 300 ล้านคน หรือคิดเป็น 50% ของตลาดนี้
นายสุขวัฒน์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางในการผลิตอาหารป้อนตลาดในประเทศประชาคมอาเซียนได้ จากการที่ประเทศเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบคุณภาพสูง มีโรงงานแปรรูปและผลิตอาหารที่ใช้กระบวนการผลิตทันสมัย และที่สำคัญอาหาร “ฮาลาล" ของไทยมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากนานาประเทศทั้งในเรื่องรสชาติ และคุณภาพมานานแล้ว