การรับงานดังกล่าว แบ่งเป็น สัญญารับงานในกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกแบบพิเศษจากประเทศเวียดนามและประเทศเกาหลีใต้ รวมมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท และสัญญารับงานจากกลุ่มบริหารโครงการและงานบริการ ประเภทงานโครงการบริการงานซ่อมบำรุงรถจากลูกค้ารายใหม่อีกจำนวนประมาณ 100 คัน ระยะยาวอย่างน้อย 5 ปี รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป
“งานที่เราเพิ่งได้รับมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะทางลูกค้าแจ้งว่ายังมีออเดอร์ต่อเนื่องรอเซ็นสัญญาอยู่อีกจำนวนมากมูลค่าไม่ต่ำกว่านี้แน่นอน"นายสุรเดช กล่าว
นายสุรเดช กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 5-10% จากปีก่อนที่ทำได้ 1,158.79 ล้านบาท ปัจจุบันมีปริมาณงานในมือแล้วประมาณ 650 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ราว 450 ล้านบาท และยังอยู่ระหว่างรอลุ้นผลการประมูลงานใหม่ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มอีกจำนวนมาก โดยเน้นเพิ่มรายได้จากกลุ่มบริหารโครงการและงานบริการที่มีมาร์จิ้นสูงเฉลี่ยที่ 40% ซึ่งจะช่วยผลักดันอัตรากำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้นเป็น 7% จาก 3.08% ในปีก่อน และจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับ 21-22% เพื่อช่วยสนับสนุนกำไรสุทธิปีนี้ให้เพิ่มขึ้นจากระดับ 35.74 ล้านบาทในปีก่อนด้วย
"ปีนี้เราจะขยับไปรับงานโครงการรัฐบาลมากขึ้น ซึ่งเข้าไปในรูปแบบของ Sub Contract ให้กับลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้มาจากภาคเอกชนเป็นหลัก โดยปีนี้เตรียมเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและเอกชน มูลค่าราว 100-250 ล้านบาทต่อโครงการ ได้แก่ รถโดยสาร ,กลุ่มรถบัส ,ยานยนต์ของหน่วยงานทหาร และงานต่างประเทศ มองว่าออเดอร์แถบเอเชียน่าจะดีกว่าปีก่อน"นายสุรเดช กล่าว
นายสุรเดช กล่าวว่า บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ราว 120 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายศูนย์ซ่อมบำรุงรถใหญ่เพิ่มอีกจำนวน 2 ศูนย์ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนต่อแห่ง 60 ล้านบาท คาดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปีนี้ และน่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างเป็นรูปธรรมได้ในปี 60 ขณะที่ก็มีแผนขยายศูนย์ดังกล่าวเพิ่มเป็น 8 ศูนย์ทั่วประเทศ ภายในปี 61 โดยจะเน้นให้บริการครบวงจรแบบ one-stop service เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างมาตรฐานในการบริการอย่างดีที่สุด
ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนารถขนส่งเชิงพาณิชย์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าคันแรกของประเทศไทยว่า เตรียมนำมาทดลองใช้งานจริงในไตรมาส 2/59 นี้ ตามเส้นทางการขนส่งของบมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ตามที่บริษัทกับ CPALL และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) 3 ฝ่าย เมื่อไตรมาส 2/58 ที่ผ่านมา
สำหรับคดีฟ้องร้องในโครงการจัดซื้อรถโดยสารที่ใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติ (NGV) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง คาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี ถึงจะทราบผลการตัดสินจากศาลปกครอง โดยบริษัทได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลฯไปเมื่อวันที่ 24 ก.พ.59 เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย มูลค่า 1,500 ล้านบาท