นายพรชัย จันทรศุภแสง ผู้อำนวยการธุรกิจสือไอทีและดิจิทัล บมจ.เออาร์ไอพี (ARIP) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการในปี 59 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ จากปี 58 ขาดทุนสุทธิราว 9.86 ล้านบาท โดยในปีนี้จะเน้นรับงานอีเว้นท์ของหน่วยงานราชการมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยง จากเดิมรับงานเอกชนเป็นหลัก รวมถึงการจัดงานคอมมาร์ตที่ทำต่อเนื่องทุกปี เชื่อว่ายังมีความต้องการของประชาชนในการมองหาสินค้าที่มีความจำเป็นต้องใช้งาน
สำหรับธุรกิจมีเดีย บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์ด้วยการออกหนังสือฉบับพิเศษตั้งแต่ปลายปี 58 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมาก ทำให้หนังสือบางเล่มเริ่มกลับมามีกำไร ดังนั้น บริษัทก็จะออกหนังสือฉบับพิเศษอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ภาพรวมของธุรกิจมีเดียกลับมามีกำไร ขณะเดียวกันธุรกิจดาต้าไดรฟ์ที่ให้บริการลูกค้าเกี่ยวกับด้านดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งครบวงจรเริ่มมีลูกค้าเข้ามาบ้างแล้ว เช่น SPVI เป็นต้น เชื่อว่าในอนาคตน่าจะมีสัดส่วนรายได้ดังกล่าวเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจุบันที่ยังน้อยอยู่
"ปีนี้เราก็น่าจะกลับมามีกำไรได้ตามเป้าหมายที่เราวางไว้ จากปีก่อนก็เริ่มมีผลขาดทุนลดลง เนื่องจากเราเริ่มจับทางการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น และเรามีการรับงานอีเว้นของหน่วยงานราชการเพิ่ม ประกอบกับมีการลงทุนในธุรกิจดาต้าไดร์ฟ ก็น่าจะส่งผลดีในระยะยาว ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินในไตรมาส 1/59 มองว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และยังกดดันกำลังซื้อในช่วงต้นปีนี้อยู่"นายพรชัย กล่าว
นอกจากนี้ มองแนวโน้มอุตสาหกรรมไอทีปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา จากการที่ประเทศก้าวสู่ระบบ 4G ทำให้ผู้ประกอบการค่ายมือถือลงทุนเพื่อแข่งขันให้บริการมากขึ้น ประกอบกับภาครัฐยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการต่างๆ จะเห็นได้จากปลายปีที่ผ่านมามีมาตรการช็อปช่วยชาติ ทำให้ตลาดโดยรวมกลับมาคึกคักมากขึ้น และเชื่อว่าในปีนี้ภาครัฐก็น่าจะมีมาตรการรูปแบบต่างๆ ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก
ขณะที่บริษัทจะยังมีการจัดงานคอมมาร์ทอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจะมีงานภายใต้คอนเซปต์"COMMART CONNECT 2016 จับกระแสเทรนด์ Connected Life"จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-20 มี.ค.59 คาดว่าจะมีเงินสะพัดภายในงานตลอดทั้ง 4 วันราว 2,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ราว 2,800 ล้านบาท และประเมินจำนวนผู้เข้างาน 8 แสนคน โดยสินค้าที่น่าจะเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนคงเป็นโน้ตบุ๊ค All in one รองลงมาคือ สมาร์โฟน โดยน่าจะมีสัดส่วนประมาณ 40:25 และที่เหลือเป็นอุปกรณ์อื่นๆ
นายพรชัย กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตามยุคสมัย โดยการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในปัจจุบันจะมุ่งเน้นไปที่สินค้าที่มีการตอบสนองในหลายฟังชั่น และมีความจำเป็นต่อการใช้งาน โดยไม่ได้คำนึงถึงระดับราคาของสินค้ามากนัก ขณะที่ก็มีการศึกษาในตัวสินค้านั้นๆ เป็นอย่างดีก่อนที่จะซื้อ