นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ที เอส ฟลาวมิลล์ (TMILL) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/59 ทั้งรายได้และกำไรสุทธิจะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 272 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 15.4 ล้านบาท เนื่องจากมีกำลังการผลิตแป้งสาลีเพิ่มขึ้นจากโรงงานผลิตแป้งสาลี เฟส 2 ซึ่งมีกำลังผลิต 250 ตัน/ปี ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 500 ตัน/ปี ซึ่งสามารถรองรับออเดอร์ที่เข้ามาได้อย่างเพียงพอ และส่งผลต่อต้นทุนการผลิตของบริษัทที่ลดลง
โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 60% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ซึ่งบริษัทตั้งเป้าในสิ้นปี 59 จะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มเป็น 75% จากปีก่อนที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีที่ 65% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1.27 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากการเพิ่มกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และบริษัทเพิ่มทีมขายเพื่อขยายฐานลูกค้าออกไปในกลุ่มลูกค้าที่ยังเข้าไม่ถึง อย่างเช่น กลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดที่จะขยายออกไปมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนลูกค้ากลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีเป็นกลุ่มลูกค้าที่ให้มาร์จิ้นดี ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนลูกค้าเอสเอ็มอีในปีนี้เป็น 50% จากสิ้นปีก่อนที่ 40% และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะลดเป็น 50% จากสิ้นปีก่อนที่ 60%
“ตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศก็ยังชะลอตัวกันหมด ก็ส่งผลต่อการบริโภค โดยเฉพาะในประเทศไทยเศรษฐกิจยังชะลอตัวอยู่ และการบริโภคก็ชะลอตัวด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากแนวโน้มของ 2 เดือนที่ผ่านมาก็ยังไม่ดีขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นม่าม่าออกมาแถลงข่าวปรับลดยอดขายลง ไม่ใช่ว่าคนมีเงินกินมาม่าน้อยลง แต่เศรษฐกิจมันยังไม่ดีมากกว่า จากปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน ความแห้งแล้ง ซึ่งก็กระทบกับลูกค้าของเราและบริษัทเราด้วย ซึ่งแนวโน้มธุรกิจเราในช่วง 6 เดือนแรกก็จะยังไม่ค่อยดีมากนัก แต่จะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 3 และดีมากที่สุดในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นซีซั่นของธุรกิจ"นายชาญกฤช กล่าว
นายชาญกฤช กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนในโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์แป้งสาลี โดยจะเป็นโรงงานในเฟสที่ 3 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับพันธมิตรในประเทศ ซึ่งใช้เงินในการศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับหลักล้านบาท โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปออกมาในปีนี้ และคาดว่าจะเริ่มลงทุนในโครงการดังกล่าวในปี 60 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่รูปแบบของการลงทุนอาจจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรที่ร่วมศึกษาครั้งนี้