นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) บมจ.บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง (ETE) หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการ บริหารจัดการบุคลากร และระบบงานธุรกิจ ในรูปแบบ Outsourcing รวมทั้งบริการงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้า และระบบโทรคมนาคม เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ยื่นไฟลิ่งของบมจ.บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
โดยที่บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 160 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.25 บาท ส่วนระยะเวลาเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ คาดว่าจะอยู่ในช่วงปี 2559
ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2558 ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทมีรายได้รวมทั้งหมด 1,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 451 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 39.48% เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่มีรายได้ 1,143 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 244.15% เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิ 19 ล้านบาท
“ผมเชื่อว่า ETE จะได้รับการตอบรับที่ดีในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ด้วยธุรกิจของบริษัทที่มีความโดดเด่น และเป็นที่ต้องการของตลาด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจให้บริการบริหารจัดการ หรือ Outsourcing และธุรกิจให้บริการงานวิศวกรรม ประกอบกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ต้องการขยายการบริการด้าน Outsourcing ให้ครอบคลุม และตอบสนองความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดหวังว่าธุรกิจของบริษัทจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี"นายวรชาติ กล่าว
นายไรวินท์ เลขวรนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ ETE เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจหลักๆใน 2 ลักษณะประกอบไปด้วย 1. ธุรกิจให้บริการบริหารจัดการ (Management Service) แบ่งเป็นงานบริหารจัดการบุคลากร (“Manpower Management" หรือ “MM") และงานบริหารจัดการระบบงานธุรกิจ (“Business Process Outsourcing" หรือ “BPO") 2. ธุรกิจให้บริการงานวิศวกรรม (Engineering Service) แบ่งเป็นงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้า (“Electrical Power Engineering System" หรือ “EE") และงานวิศวกรรมระบบโทรคมนาคม (“Telecommunication Engineering System" หรือ “TL")
“การระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai นอกเหนือจากจะช่วยให้มีความมั่นคงทางธุรกิจ ยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มศักยภาพในการขยายตลาด รวมไปถึงมีเงินทุนในการขยายธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน และการเป็นบริษัทมหาชนแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใส ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่คู่ค้า พันธมิตร และคาดจะช่วยหนุนให้กิจการเติบโตได้ในอนาคต"นายไรวินท์ กล่าว