นางสาวศิริวรรณ สุกัญจนศิริ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ที.เค.เอส.เทคโนโลยี (TKS) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้มีมีแนวโน้มใกล้เคียงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศมีความชัดเจนในทางที่ดีขึ้น แต่เชื่อว่ารายได้และกำไรจะเริ่มเห็นการเติบโตตั้งแต่ไตรมาส 2/59 หลังบริษัทย่อยที่ร่วมทุน 51% กับพันธมิตรญี่ปุ่นในธุรกิจสิ่งพิมพ์ประเภทลาเบลบรรจุภัณฑ์นั้นเริ่มติดตั้งตัวเครื่องจักรในไตรมาส 2/59 และจะเริ่มมีรายได้เข้ามาในช่วงไตรมาสดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจดังกล่าวจะคุ้มทุนใน 3 ปี โดยจะร่วมมือกันเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์เดิมของบริษัทให้สามารถขยายตลาดด้านสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์ไปยังลูกค้ารายใหม่ๆ หลีกเลี่ยงการแข่งขันในตลาดสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์ในประเทศแบบเดิม
"ในปีนี้เรายังมั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่าไตรมาส 1/59 รายได้จะทำได้แค่ทรงตัว แต่อย่างไรก็ตามจะเริ่มเติบโตขึ้นในช่วงไตรมาส 2/59 เป็นต้นไปหลังจากรับรู้รายได้จากต่างประเทศเข้ามา และโครงการใหม่ๆที่บริษัทได้มีการลงทุนจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และมีการรับรู้รายได้เข้ามา"นางสาวศิริวรรณ กล่าว
นางสาวศิริวรรณ กล่าวว่า สำหรับปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ที่ระดับ 1,650 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน โดยปัจจุบันมีงานในมือ(Backlog) 1,200 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการรักษาอัตรากำไรสุทธิที่ 15.45% ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และได้วางงบลงทุนในปีนี้ที่ 100 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และใช้สำหรับการลงทุนอื่นๆ
ในปีนี้คาดว่าจะมีงานร่างรัฐธรรมนูญออกมาหลังจากมีการเลื่อนออกมาจากปีก่อน หลังจากนั้นต้องมีการทำประชามติ ประกอบกับจะมีงานไปรษณียบัตรบอลยูโรเข้ามา ซึ่งจะเป็นผลดีต่อบริษัทในการรับงานอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์เพิ่มเติม ควบคู่กับการมองหาโอกาสจากการลงทุนอื่นๆ เพื่อสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากงานเอกชนอยู่ที่ 70% งานภาครัฐอยู่ที่ 30% ซึ่งการที่ภาครัฐมีการเปลี่ยนแปลงระบบจัดซื้อจัดจ้างและทุกงานโครงการต้องเข้าประมูลในส่วนกลาง ทำให้เบื้องต้นมีการแข่งขันกันสูง เพราะจะมีการเข้ามาของผู้ประกอบการในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะมีรายได้จากต่างประเทศเข้ามาและมีการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นสปป.ลาว โดยเป็นการเข้าไปรับงานสิ่งพิมพ์ปลอดการทำเทียม (แบบพิมพ์ซีเคียวริตี้) แบบ Turn Key ของภาครัฐ มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้น้อยมาก และล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจารับงานกับพันธมิตรท้องถิ่นในกัมพูชา โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 2/59 ขณะที่เมียนมาร์ ต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะรอความชัดเจนในเรื่องกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ