นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บมจ.สหพัฒนพิบูล (SPC) กล่าวว่า "ช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.พ. 59) ยอดขายมีแนวโน้มที่ดี เพราะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดรวม 2 เดือนแรกของปีนี้เติบโต 17%
ขณะที่ ยอดขายทั้งปีคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปี 58 ที่มียอดขายอยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งมาจากการมองแนวโน้มของสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ที่คาดว่าจะมีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และส่งผลให้ความมั่นใจของประชาชนที่มีต่อทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลมีมากขึ้น ส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นตาม ส่วนกำไรคาดว่าจะเติบโตได้ราว 5% เช่นกัน
"ในภาวะแบบนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าตั้งเป้าหมายโตถึง 10% เรามองว่าถ้าสหพัฒน์โตได้ บริษัทในเครือก็โตได้ และตั้งเป้ากำไรปีนี้โต 5%"นายบุญชัย กล่าว
อีกทั้งเครือสหพัฒน์ยังเดินหน้าใช้งบประมาณพัฒนาระบบจัดจำหน่ายทั้งทางด้านโลจิสติกส์และช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยในเรื่องของโลจิสติกส์บริษัทได้จับมือกับพันธมิตรทางด้านโลจิสติกส์ที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค และยังเป็นสร้างโครงขทาลในการให้บริการลูกค้า รับและส่งข้อมูลจากพนักงานขายได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้สหพัฒน์ได้มีการเจรจากับพันธมิตรทางด้านโลจิสติกส์เพิ่มอีกหลายราย
สำหรับการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยนั้นบริษัทยังใช้งบประมาณในการทำการตลาดและทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการขายต่างๆมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมาย
ส่วนผลการดำเนินงานของสหพัฒน์ในปี 58 มีการเติบโตที่น่าพอใจ โดยมียอดขายสุทธิ 2.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.48% มีกำไรสุทธิ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการขยายตัวของการท่องเที่ยว รวมทั้งเกิดจากการที่สหพัฒน์มีการพัฒนาและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง
นางผาสุข รักษาวงศ์ กรรมการรองผู้อำนวยการอาวุโส บมจ.สหพัฒนพิบูล กล่าวว่า แนวโน้มยอดขายของบริษัทในไตรมาส 2/59 คาดว่าจะยังเติบโตได้มากกว่า 10% จากการที่ภาครัฐยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจและส่งผลต่อการฟื้นของการจับจ่ายใช้สอย ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังทำกิจกรรมการส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทได้วางงบการตลาดไว้มากกว่าปีก่อนเท่าตัวเพื่อกระตุ้นยอดขาย และทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจในการซื้อสินค้ามากขึ้น
"งบการตลาดปีนี้เราก็ใช้มากขึ้นกว่าปีก่อนเท่าตัว ซึ่งเราก็ต้องหาอะไรมาทำให้ลูกค้าไม่อยู่บ้านเฉยแล้วไม่มีการจับจ่ายใช้สอย ตรงนี้เราก็ต้องหากิจกรรมทางการตลาดมากระตุ้นเพื่อเขาจะได้ออกมาจับจ่าย เพราะถ้าเราปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามภาวะก็ไม่ดีแน่นอน เราต้องกระตุ้น แต่เราบอกไม่ได้ว่าปีนี้ใช้เท่าไหร่ แต่สมมุติว่าเราตั้งไว้งบการตลาดไว้ที่ 3% ของเป้ายอดขายในปีนี้ 3.2 หมื่นล้านบาท แสดงว่าเราก็ต้องใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้นจากปีก่อนแน่นอน ซึ่งเราใช้งบการตลาดปีนี้เพิ่มเป็นเท่าตัวจากปีก่อน"นางผาสุข กล่าว
แต่สำหรับแนวโน้มยอดขายในช่วงไตรมาส 3/59 และไตรมาส 4/59 นั้นคาดว่าอาจจะมีโอกาสที่ยอดขายจะเติบโตไม่ถึง 10% หากไม่มีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ เนื่องจากความมั่นใจของประชาชนยังไม่กลับมาฟื้นตัวดีมากนัก ทำให้ประชาชนยังระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยอยู่บ้าง อีกทั้งภาวะการแข่งขันของตลาดอุปโภคและบริโภคที่รุนแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่ายอดขายสุทธิทั้งปี 59 จะเติบโตตามเป้าหมายที่ 10%
ด้านนายเวทิต โชควัฒนา กรรมการรองอำนวยการ บมจ.สหพัฒนพิบูล กล่าวว่า ทิศทางของยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป "มาม่า" ของบริษัทในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเติบโตถึง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่หดตัว เนื่องจากแนวโน้มความมั่นใจของเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น จากปีก่อนที่เศรษฐกิจไม่ดียอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป "มาม่า" ก็ไม่มีการขยายตัว ประกอบกับบริษัทได้ทำกิจกรรมส่งเสริมการขายของมาม่ามากขึ้น ทำให้ช่วยกระตุ้นยอดขายได้ โดยในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป "มาม่า" เติบโต 7% จากปีก่อนที่ไม่ขยายตัว และมาม่ายังคงเป็นผู้นำตลาดของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทย
ส่วนนายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บมจ.สหพัฒนพิบูล กล่าวว่า ยอดขายในต่างประเทศของบริษัทในปี 59 ตั้งเป้าอยู่ที่ 900 ล้านบาท ของเป้าหมายยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 600 ล้านบาท โดยบริษัทยังไม่เน้นการทำตลาดในต่างประเทศมากนัก เนื่องจากการทำตลาดในต่างประเทศไม่ไช่เรื่องง่ายในการขายและสร้างความรู้จักในสินค้า แต่บริษัทจะเน้นการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับลูกค้าในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งบริษัทมีจุดแข็งในเรื่องของความสามารถและเทคโลยีในการผลิต และมีโรงงานที่มีมาตรฐาน โดยเชื่อว่าในปีนี้บริษัทจะมีลูกค้าต่างประเทศที่เข้ามาให้บริษัทรับจ้างผลิตเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการผลิตสินค้าในต่างประเทศยังมีต้นทุนที่สูงกว่าที่บริษัทสามารถผลิตได้
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงปีนี้มองว่าเรื่องกำลังซื้อยังคงน่าเป็นห่วง จากปัญหาภัยแล้งที่จะกระทบรายได้ของเกษตรกรซึ่งเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกว่า 80% การไช้จ่ายเกินตัวและการกู้หนี้นอกระบบ ทำให้ฉุดกำลังซื้อลงไปอย่างมาก อีกทั้งความเชื่อมั่นของประชาชนที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวกลับมามาก เนื่องจากนโยบายต่างๆของภาครัฐยังไม่เห็นผลอย่างชัดเจน
นายบุญชัย กล่าวว่า บริษัทจะมีการส่งเสริมการขายมากขึ้น และพยายามผลักดันสินค้าบางรายการที่ไม่สร้างยอดขายที่ดีให้กลับมามียอดขายที่ดีได้ โดยวางงบการตลาดในส่วนนี้ 0.5% ของยอดขายเพื่อผลักดันสินค้าที่ไม่สร้างยอดขาย โดยอาจจะมีการทำโปรโมชั่นแปลกๆออกมา อีกทั้งยังเน้นการขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ชเพิ่มขึ้นโดยตั้งเป้ายอดขายอีคอมเมิร์ชในปีนี้เป็น 100 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 50 ล้านบาท พร้อมกับเพิ่มสัดส่วนการจัดจำหน่ายสินค้านอกเครือเป็น 24% ในปีนี้ จากปีก่อนมีสัดส่วนที่ 21%
ทั้งนี้ การเติบโตในอนาคตของบริษัทนั้นบริษัทได้มองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท เพื่อต่อยอดและส่งเสริมศักยภาพของบริษัท โดยจะไม่เป็นธุรกิจที่ทำสินค้ามึนเมาหรือธุรกิจที่ต้องมีการฆ่าสัตว์ แต่สนใจธุรกิจที่ช่วยส่งเสริมสังคมและส่งผลดีต่อสุขภาพ
"เรื่องการทำ M&A เราก็ไม่รีบร้อนมากนัก ก็ต้องใช้เวลาในการศึกษาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน แต่ M&A ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้บริษัทโตได้มากขึ้นในอนาคต เราก็ดูๆไปเรื่อยๆไม่ได้รีบร้อนมากนัก ก่อนหน้านี่เราก็ไปร่วมทุนกับชาญอิสระทำโรงแรมและคอนโดฯที่ชะอำ"นายบุญชัย กล่าว