นายปราโมทย์ สุดจิตพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น (AS) คาดว่าในปีนี้บริษัทจะผลักดันให้รายได้จากเกมมือถือเติบโตขึ้น 30% ในส่วนของรายได้รวมน่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 30% ซึ่งแผนทั้งหมดนี้หากเป็นไปตามเป้าจะทำให้บริษัทฯ กลับมามีกำไรได้อย่างแน่นอน จากการวางกลยุทธ์ในปีนี่ลุยตลาดเกมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วางแผนเปิดเกมใหม่ควบคู่ทั้งเกมพีซีและมือถือ สร้าง New Business Model ใหม่ต่อยอดธุรกิจรองรับการขยายตัวของตลาดเกม
AS มองว่าตลาดเกมออนไลน์ในปีนี้ยังมีอัตราการเติบโตอยู่ แต่เป็นการเติบโตในส่วนของเกมมือถือมากกว่าเกมพีซี แผนการรุกตลาดเกมในปีนี้จึงเน้นการให้บริการแบบ Regional ให้บริการครอบคลุมทั้ง 6 ประเทศทั่วภูมิภาค และเตรียมเปิดให้บริการเกมใหม่หลากหลายรูปแบบ โดยตั้งเป้าเปิดเกมพีซี 7 เกม และเกมมือถือ 17 เกม ทั้งเกมใหม่และการนำเกมคลาสสิกที่เคยได้รับความนิยมในอดีตลับมาให้บริการใหม่อีกครั้ง พร้อมปรับปรุงและพัฒนาระบบการให้บริการเกมที่เปิดให้บริการอยู่ ให้สามารถให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อรักษาฐานผู้เล่นและเพิ่มสัดส่วนรายได้ในปีนี้
ในส่วนของตลาด e-Sport บริษัทยังตั้งเป้าในการชิงส่วนแบ่งตลาดส่วนนี้ โดยยังให้น้ำหนักในส่วนของเกม FPS และ MOBA เป็นหลัก มีการทุ่มเม็ดเงินในการจัดการแข่งขันที่เป็น Tournament ใหญ่ๆและอัดฉีดเงินรางวัลเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี นอกจากนั้นจะทยอยเปิดเกมมือถือที่สามารถนำมาจัดการแข่งขันในรูปแบบ e-Sport ได้
นาบปราโมทย์ กล่าวว่า บริษัทได้ต่อยอดธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจเกมในปัจจุบัน โดยการเพิ่มรูปแบบความร่วมมือทางธุรกิจ และสร้าง Service Platform ขึ้นมาให้บริการแก่ Partner หรือผู้พัฒนา ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอาศัยศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ และโครงสร้างพื้นฐานของเอเชียซอฟท์ อาทิ ฐานลูกค้ากว่า 156 ล้านไอดี ระบบและช่องทางการชำระเงิน ระบบ Customer Service และ Infrastructure ต่างๆ รวมถึงการสนับสนุนด้านการตลาด ที่มีพร้อมอยู่ใน 6 ประเทศทั่วภูมิภาค เพื่อช่วยให้ Partner เข้าถึงผู้เล่นในตลาดนี้ได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนด้านการตลาดและการให้บริการเกมที่ลดลง และยังทำให้ผู้เล่นเกมมีโอกาส และทางเลือกในการเล่นเกมมากขึ้นอีกด้วย โดยจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการในไตรมาส 3 ของปีนี้
สำหรับการปรับโครงสร้างของบริษัททั้งส่วนของภาพรวม และส่วนของ Operation นั้นอาจจะมีการควบรวม ปิด หรือขายออกบางส่วนของธุรกิจ เพื่อเป็นการลดความซ้ำซ้อน และค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น