(เพิ่มเติม) TISCO ชูกองหุ้น"ยุโรป-ญี่ปุ่น-จีน-อินเดีย"เด่น,หุ้นไทยมีแรงหนุนจาก Fund Flow มอง SET 1,480 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 29, 2016 11:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า บริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อเนื่อง รวมถึงการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบ โดย บลจ.ทิสโก้ มีกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นอยู่ 4 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ยุโรป อิควิตี้ (TISCOEU) ซึ่งเน้นกระจายการลงทุนในหุ้นยุโรปขนาดใหญ่ 50 บริษัท กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้ (TISCOGY) ลงทุนในกลุ่มบริษัทในประเทศเยอรมนี อ้างอิงดัชนี DAX ของเยอรมัน กองทุนเปิดทิสโก้ ซิลเวอร์ เอจ (TISCOSA) เน้นลงทุนในหุ้นยุโรปที่ทำธุรกิจตอบโจทย์ผู้สูงวัย และ กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ (TISCOJP) ที่ลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ 225 บริษัท อ้างอิงดัชนี Nikkei 225

สำหรับกลุ่ม Emerging Market (EM) โดยรวมตลาดอาจจะยังคงมีความผันผวน แต่ตลาดที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนมากที่สุดคือตลาดหุ้นอินเดียที่เศรษฐกิจยังคงมีการเติบโตในระดับสูง มีเม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุนต่อเนื่อง โดยสามารถลงทุนในอินเดียผ่าน กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ (TISCOIN) ขณะที่ตลาดหุ้นจีนยังคงมีความน่าสนใจแม้จะมีความผันผวนสูงมูลค่าหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างมาก มี Valuation ถูกเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ โดยบลจ.ทิสโก้มีกองทุนที่ลงทุนในประเทศจีน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้ (TISCOCH) ที่ลงทุนในหุ้นจีนที่ตลาดหุ้นฮ่องกง โดยอิงกับดัชนี HSCEI และกองทุนเปิด ไช่น่า สตาร์ พลัส (TCHSTARP) เป็นกองทุน Fund of Funds ที่ผู้จัดการกองทุนจะดำเนินกลยุทธ์ในการลงทุนในหุ้นจีนผ่านกองทุนต่างๆ

นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่มองหาทางเลือกการลงทุนในยุคดอกเบี้ยต่ำ แนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ ยุโรป พร็อพเพอร์ตี้ (TEUPROP) ที่ลงทุนใน REITs และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในยุโรป และ กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน รีท (TJREIT) เน้นการลงทุนใน REITs ของญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดย REITs เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนน้อยกว่าหุ้น ยังคงมีการจ่ายปันผลที่ดีและสม่ำเสมอ และเงินปันผลมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี

สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงไม่ได้มาก แต่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและดีกว่าเงินฝาก แนะนำกองทุนเปิด ทิสโก้ อินคัม พลัส (TINCOME) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดสรรการลงทุนลงในหลายสินทรัพย์ โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยประมาณ 50% ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 25% และลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 25% เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยและเงินปันผล โดยบริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นรายไตรมาส หรือขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทจัดการ ตามที่บริษัทจัดการพิจารณาเห็นสมควร

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย บลจ.ทิสโก้ แนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ (TISCOMS) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็ก คัดเลือกโดยอิงตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องให้น้ำหนักกับการลงทุนตาม SET Index นับตั้งแต่ตั้งกองทุนมาประมาณ 2 ปีเศษ กองทุนถือว่ามีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมาก เหมาะกับสภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจในภาพรวมยังไม่ดีมาก การเติบโตกระจุกตัวอยู่แค่ในบางอุตสาหกรรม และต่างชาติก็ยังไม่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนมากนัก

ด้านนายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ คาดว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2 จะอยู่ในภาวะ Over Bought ก่อนจะขึ้นไปทรงตัวที่ระดับ 1,430-1,450 จุด ระหว่างนี้แนะนำให้เล่นหุ้นกลุ่มก่อสร้าง รับเหมา และอสังหาริมทรัพย์ ก่อนจะจบรอบ หลังจากที่ข่าวดีจาก Fed, BoJ, ECB ในเดือน มี.ค.หมดลง และพ้นช่วงข่าวปันผล แม้คาดว่าต่างชาติจะเข้าซื้อสุทธิ เดือน มี.ค.-เม.ย.ราว 3 หมื่นล้านบาท แต่ก็จะเป็นการซื้อที่“ยอดดอย"ก่อนที่คาดว่าดัชนีจะร่วงลงมาสู่แนวรับ 1,350 จุด ช่วงเดือน มิ.ย. จึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อสะสมที่ 1,350 จุด เพื่อรอรับ Fund Flow ไหลเข้าช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งมองว่า SET Index จะขึ้นไป 1,480 จุด

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้นแรงในช่วงเดือนที่ผ่านมา นำโดยตลาดยุโรปและญี่ปุ่น รวมถึงจีนที่ปรับตัวขึ้นราว 10-15% ตาม Sentiment ของตลาดที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น ปัจจัยหลัก คือ การคลายความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของราคาน้ำมัน ประกอบกับการแข็งค่าของค่าเงินหยวนและการชะลอตัวของกระแสเงินทุนไหลออกจากจีน ซึ่งเป็นไปตามที่คาดไว้

ส่วนการล้มละลายของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันจะส่งผลกระทบจำกัดต่อภาคการเงิน ตลาดน้ำมันดิบโลกกำลังปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ โดยราคาน้ำมันที่ตกต่ำ เริ่มส่งผลกดดันให้ผู้ผลิตน้ำมัน Shale Oil ประสบปัญหาขาดทุนและบางแห่งต้องถึงกับประกาศล้มละลายลงไป อย่างไรก็ดีคาดว่าผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวจะไม่ลุกลามจนเป็นปัญหาเชิงระบบ การผลิตน้ำมันที่ลดลงตามการปิดตัวของบริษัทน้ำมันในสหรัฐฯ จะช่วยให้ภาวะอุปสงค์-อุปทานกลับสู่สมดุล และทำให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นได้ในที่สุด

นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา หัวหน้าฝ่ายจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นยังเป็นการลงทุนที่น่าสนใจในปีนี้ เพราะภาวะ Oversold ช่วงต้นปีทำให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นมา ประกอบกับ Valuation ของตลาดยังอยู่ในช่วงต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี อีกทั้งยังไม่มีภาพว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงนับเป็นโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้น

ทั้งนี้ แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่ม Developed Market (DM) เช่น ตลาดหุ้นยุโรปหรือญี่ปุ่น ที่จะได้รับปัจจัยบวกจากการใช้มาตรการ QE อีกทั้ง Valuation ของทั้ง 2ตลาดปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ขณะที่ตลาด EM ยังคงมีความเสี่ยงต่อภาวะเงินทุนไหลออกอีกครั้ง จากการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกหลังจากตลาดหุ้นและสกุลเงินของกลุ่ม EM ปรับตัวขึ้นในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยนั้นมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดกลุ่มประเทศ EM อื่นๆ เนื่องจากสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติในหุ้นไทยถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่าน ทำให้ความเสี่ยงจากเงินทุนไหลออกอยู่ในระดับต่ำ

"แนะนำให้ Overweight ตลาดหุ้นยุโรปกับญี่ปุ่น โดยมองว่าแนวโน้มดำเนินนโยบายผ่อนคลายของ ECB และ BoJ ซึ่งสวนทางกันโยบายที่เข้มงวดของ Fed จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรและเยน เป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนตลาดหุ้นญี่ปุ่นและยุโรป สำหรับตลาดเกิดใหม่ยังมีความเสี่ยงทุนไหลออก แต่ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่ากลุ่ม EM อื่นๆ เพราะสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับต่ำ"นายสุพงศ์วร กล่าว

นอกจากนี้ นักลงทุนยังต้องจับตาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้ เช่น Yield ของตราสารหนี้ที่อาจได้รับแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ปัญหาค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่า และความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างประเทศ เช่น วิกฤตผู้อพยพในยุโรป และความเสี่ยงอังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ Brexit ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้

การลงทุนใน REITs (กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) ต่างประเทศ ปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกเพื่อกระจายการลงทุนเท่านั้น แต่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบการลงทุนหลายครั้งที่ผ่านมา ในปีนี้การลงทุนประเภท REITs จะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำจากการใช้มาตรการ QE ของ ECB และ BoJ โดยเฉพาะ REIT ในญี่ปุ่น ซึ่งราคาที่ดินเริ่มปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากทรงตัวมานาน ขณะที่ราคาภาคอสังหาริมทรัพย์ในยุโรปยังคงต่ำเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในปี 50 และมีแนวโน้มอัตราการเช่าที่เพิ่มสูงขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ