นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) กล่าวว่า การที่ส่วนต่าง (สเปรด) ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอยู่ในระดับสูงในช่วงนี้ เป็นผลจากราคาวัตถุดิบที่ปรับลดลงตามราคาน้ำมัน และกำลังผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดโลกมีน้อย ขณะที่ความต้องการใช้สูงมาก ซึ่งนักอุตสาหกรรมมองเป็นช่วง peak cycle ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ขณะที่เครือซิเมนต์ไทยก็จะอยู่ในภาวะที่ทำกำไรสูงขึ้นได้ โดยในช่วง 2-3 ปีก็จะยังอยู่ในภาวะเช่นนี้ หลังจากนั้นจะอุตสาหกรรมก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ขณะที่ปัจจุบันเครือซิเมนต์ไทยได้มีการทำงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้มีความพร้อมและมีความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจปิโตรเคมีต่อไปได้ โดยปีที่ผ่านมาเครือซิเมนต์ไทยได้ใช้งบ 3.5 พันล้านบาท หรือราว 0.8% ของยอดขายเพื่อลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
"การที่ราคาวัตถุดิบลงมีผลทำให้ส่วนต่างราคาสูงขึ้น แต่ปัจจัยสำคัญคือกำลังผลิตปิโตรเคมีใหม่ในตลาดมีน้อย ขณะที่ demand สูงมาก นักอุตสาหกรรมมองว่าเป็น peak cycle ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เครือซิเมนต์ไทยอยู่ในฐานะที่ทำกำไรสูงขึ้นได้ 2-3 ปีก็ยังอยู่ในภาวะแบบนี้"นายรุ่งโรจน์ กล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2559
นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นยังได้แสดงความกังวลต่อเงินลงทุนใน บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปรียบเทียบปรับผู้บริหารของ GLOBAL กรณีใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้น โดยนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานกรรมการของ SCC กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ SCC จะเข้าลงทุนในบริษัทดังกล่าว และล่าสุดผู้บริหารคนดังกล่าวก็ได้ลาออกจาก GLOBAL แล้ว หลังจากนี้ก็คงจะเดินหน้าต่อไปและทำให้ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ส่วนสถานการณ์ภัยแล้งนั้น เครือซิเมนต์ไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยเฉพาะโรงงานบรรจุภัณฑ์ของเครือซิเมนต์มีนโยบายลดการใช้น้ำหลายวิธี เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำในส่วนการผลิตเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถลดการใช้น้ำได้ 10-20% ในแต่ละโรงงาน