นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) คาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ในไตรมาส 1/59 จะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 4/58 หลังมาร์จิ้นของโรงกลั่นน้ำมันลดลง โดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันเบนซินที่เคยมีมาร์จิ้นสูงมากในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการผลิตมากขึ้นกดดันให้มาร์จิ้นอ่อนตัวลงในปีนี้ แต่มาร์จิ้นของธุรกิจปิโตรเคมียังอยู่ในระดับที่ดี ขณะที่คาดว่าในไตรมาสแรกจะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม คาดว่า GIM ในไตรมาส 2/59 จะดีขึ้นจากไตรมาสแรก หลังจะรับรู้กำไรจากโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์(UHV) ของโรงกลั่นที่แล้วเสร็จ และจะเริ่มรับรู้ผลประโยชน์ตั้งแต่ไตรมาส 2 อีกทั้งเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวน่าจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นและส่งผลดีต่อมาร์จิ้น
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทยังตั้งเป้าหมายจะรักษากำไรสุทธิไม่ให้ต่ำกว่า 9.4 พันล้านบาทในปีก่อน แม้ว่าไม่กำไรพิเศษเหมือนในปีก่อนที่มีราว 4 พันล้านบาท และมาร์จิ้นของธุรกิจมีแนวโน้มอ่อนตัวลงหลังราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มสูงขึ้นและหลายโรงกลั่นก็มีการเพิ่มการผลิต
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่สูงขึ้นก็คาดว่าจะทำให้ในปีนี้บริษัทจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเหมือนในปีก่อน ขณะที่การดำเนินโครงการ UHV จะเริ่มรับรู้ผลประโยชน์ตั้งแต่ไตรมาส 2/59 เป็นต้นไปนั้น และการดำเนินโครงการ EVEREST ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถองค์กรในทุกด้านจะเข้ามาในปีนี้ จะช่วยประคองมาร์จิ้น
นายสุกฤตย์ กล่าวว่า โครงการ UHV จะสร้างมูลค่าเพิ่มราว 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งทุกๆ 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะคิดเป็นมูลค่าเพิ่มประมาณ 2 พันล้านบาท/ปี ขณะที่โครงการ EVEREST จะสร้างมูลค่าเพิ่มราว 300 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ในช่วง 2-3 ปีจากนี้ แต่เฉพาะในปีนี้คาดว่าโครงการดังกล่าวจะสร้างมูลค่าเพิ่มราว 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.5 พันล้านบาท
ขณะที่บริษัทยังอยู่ระหว่างทำโครงการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) อีก 3 แสนตัน/ปี ซึ่งจะแล้วเสร็จในกลางปี 60 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิต PP เพิ่มเป็น 7.75 แสนตัน/ปี ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/60 เป็นต้นไป
"โครงการ UHV ทำให้ส่วนโรงกลั่นแข็งแรง ขณะที่โครงการขยายกำลังผลิตโพลีนโพรพิลีนอีก 3 แสนตัน จะทำให้ส่วนปิโตรเคมีแข็งแรง ส่วนโครงการ EVEREST จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของบริษัท"นายสุกฤตย์ กล่าว
นายสุกฤตย์ กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ราว 1.2 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่ใช้ในโครงการ UHV และการขยายกำลังการผลิต PP ขณะที่ปลายปีนี้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ราว 1 หมื่นล้านบาท และกู้เงินแบบใช้เงินกู้ร่วม (ซินดิเคทโลน) ราว 1 หมื่นล้านบาท เพื่อเตรียมใช้ชำระคืนหนี้ที่จะครบกำหนดราว 1.9 หมื่นล้านบาทในปี 60
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยในปีที่ผ่านมาใช้งบลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) ราว 0.25% ของยอดขายกลุ่มปิโตรเคมี และปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1% ของยอดขายกลุ่มปิโตรเคมี และมีเป้าหมายเพิ่มเงินลงทุนส่วนนี้เป็นระดับ 2-3% ของยอดขายกลุ่มปิโตรเคมีในอนาคต
ขณะที่วางเป้าหมายการผลิตผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษเพิ่มเป็น 60% ในปี 63 จากปี 58 ที่มีการผลิตอยู่ในระดับ 40%