นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) คาดว่ายอดขายและยอดโอนในไตรมาส 2/59 จะอยู่ที่ราว 5 พันล้านบาท สูงขึ้นจากไตรมาส 1/59 ที่สามารถทำยอดขายได้ 2.2 พันล้านบาท และยอดโอนคาดว่าทำได้ 4 พันล้านบาท โดยในส่วนของยอดขายที่เพิ่มขึ้นจะมาจากการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 2 อีก 3-4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3-4 พันล้านบาท และยังมีโครงการบ้านประชารัฐที่จะช่วยเข้ามาสนับสนุนยอดขายให้เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทก็มีโครงการที่เข้าร่วมบ้านประชารัฐทั้งสิ้น 14 โครงการ จำนวน 3,000 ยูนิต
ขณะที่ยังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐที่ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองที่จะสิ้นสุดมาตรการในเดือนเม.ย.นี้ จะช่วยกระตุ้นยอดขายและยอดโอนได้เพิ่มขึ้นด้วย ประกอบกับโครงการใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนนั้นส่วนใหญ่จะเริ่มทยอยโอนมากขึ้นในไตรมาส 2/59 โดยจะมีโครงการที่มีการโอนต่อเนื่อง เช่น โครงการเดอะ ลุมพินี ทเวนตี้โฟร์ มูลค่าโครงการ 3 พันล้านบาท จำนวน 426 ยูนิต จะมีการโอนในไตรมาส 2/59 อีก 2 พันล้านบาท ,โครงการลุมพินี พาร์ค บีช ชะอำ มูลค่าโครงการ 1.1 พันล้านบาท จำนวน 413 ยูนิต ซึ่งสร้างเสร็จเร็วกว่ากำหนด 2 เดือน และโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง 1 เฟส 2 มูลค่าโครงการ 2.5 พันล้านบาท จำนวน 3,674 ยูนิต ซึ่งจะทำให้เป้าหมายยอดโอนในไตรมาส 2/59 เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเป้ายอดขายและรายได้ไนปีนี้อยู่ที่ 1.76 หมื่นล้านบาท และปัจจุบันมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 9.7 พันล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยโอนในปีนี้ 9 พันล้านบาท และอีก 700 ล้านบาท จะทยอยโอนในปี 60
ด้านอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ 5-10% ทรงตัวจากสิ้นปีก่อน เนื่องจากบริษัทได้มีการช่วยเหลือให้ลูกค้ามีความสามารถในการกู้ได้มากขึ้น ซึ่งการจะขอกู้ซื้อโครงการในแต่ละครั้งนั้นบริษัทจะขอดูรายละเอียดเกี่ยวกับรายรับ รายจ่าย และประวัติเครดิตบูโรของลูกค้า เพื่อพิจารณาความสามารถในการกู้ของลูกค้าแต่ละราย อีกทั้งลูกค้าที่ยื่นกู้นั้นจะต้องมีการควบคุมรายจ่ายที่ดี และไม่สร้างรายจ่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้สินเชื่อส่วนบุคคล ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ลูกค้ามีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
นายโอภาส กล่าวว่า ส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับบนของบริษัท อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเปิดตัวในปีนี้หรือไม่ ซึ่งบริษัทมีที่ดินพร้อมพัฒนาแล้ว โดยจะต้องดูภาวะตลาดและช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดโครงการ ซึ่งการพัฒนาโครงการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับบนนั้นเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากโครงการโครงการ เดอะ ลุมพินี ทเวนตี้โฟร์ ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยโครงการ เดอะ ลุมพินี ทเวนตี้โฟร์ มูลค่าโครงการ 3 พันล้านบาท เป็นอาคารพักอาศัยสูง 46 ชั้น จำนวน 437 ยูนิต ปัจจุบันมีจำนวนยูนิตเหลือขายอยู่ 50 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นห้องขนาดใหญ่ 2 ห้องนอน พื้นที่ 60 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยที่ 1.8-2.0 แสนบาท/ตารางเมตร ราคขายเฉลี่ยต่อยูนิตที่ 10-12 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากราคาขาย ณ วันเปิดตัวในช่วงปลายปี 57 ที่ 1.5-1.6 แสนบาท/ตารางเมตร ในส่วนของค่าส่วนกลางราคาอยู่ที่ 70 บาท/ตารางเมตร
นอกจากนี้ทางบริษัท ชางลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (LPP) ยังเป็นผู้ช่วยดูแลการบริหารหลังการขายเองในโครงการนี้ โดยมีที่ปรึกษามืออาชีพ คือ โจนส์ แลง สาซาลล์ คอยดูแลและช่วยเหลือการบริหารโครงการ ทั้งนี้โครงการ เดอะ ลุมพินี ทเวนตี้โฟร์ ได้มีการโอนโครงการไปแล้วเมื่อปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมามูลค่า 500 ล้านบาท